Sunday, January 28, 2007

Chinese food party

อยู่มหาลัยไม่ค่อยได้กินอาหารอร่อยๆหรอก เพราะโรงอาหารมีแต่อาหารซ้ำๆ ไม่ได้เลวร้าย แต่กินทุกวันมันก็เบื่อ นอกโรงเรียนก็ไม่ค่อยจะมีอะไรให้เลือกเท่าไหร่ เรื่องอาหารการกิน ยังไงก็สู้เมืองไทยไม่ได้จริงๆ ทั้งถูกเงินและถูกปาก



วันนี้เพื่อนชาวจีนเลยลงมือทำอาหารเลี้ยง ได้กินแล้วค่อยรู้สึกว่า นี่สิ real food ข้าวร้อนๆ กับข้าวอร่อยๆ ชวนให้รู้สึกว่า live is beautiful มื้อนี้มีแต่เด็กเอเชีย ญี่ปุ่น 2 เกาหลี 1 จีน 1 แล้วก็ไทยอีก 1 รวมตัวกันด้วยความคิดถึงอาหารเอเชีย ได้อิ่มท้อง กินอาหารอร่อยๆเสร็จ หน้าตาก็จะเป็นประมาณนี้

Saturday, January 27, 2007

Character Animation Art Show

จะว่าไปแล้ว แผนกที่น่าจะดังที่สุดของ CalArts คงหนีไม่พ้น Character Animation ที่ปลุกปั้นศิลปินผู้ทำงานตามสตูดิโอดังๆทั้งหลาย โดยเฉพาะ Disney และ Pixar เรียกได้ว่า ดาหน้าเข้ามา ก็ฟันธงไว้ก่อนได้เลยว่า คงจบมาจาก CalArts กันทั้งนั้น

แต่ก่อนเราอยากเป็น animator ซื้อหนังสือ animation มาศึกษา อ่านประวัติ animator ดังๆแต่ละคน ก็มีแต่จบจาก CalArts กันทั้งนั้น ขนาดคุณ คมภิญญ์ เข็มกำเนิด ผู้กำกับก้านกล้วย ก็ยังจบจากที่นี่ ( ี่เข้าใจว่า พี่เขาเป็นคนไทยคนแรกที่มา) และถ้าตามอ่านบล็อคเรา ก็คงรู้ใช่มั้ยว่า CalArts ก่อตั้งโดย Walt Disney

เราถึงมีความหลังฝังใจกับ CalArts มาตั้งแต่เด็ก ถึงแม้ตอนนี้จะเบนมาทางหนัง live action มากกว่าหน่อยก็ตาม



ช่วงนี้แผนก Character Animation กำลังมีจัดนิทรรศการโชว์งานนักเรียนที่กำแพงโถงกลาง ปกติงานพวกนี้บางชิ้นก็มีโชว์เรื่อยๆในแผนกของเขาอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้พิเศษหน่อย เอามาติดกลางฮอลล์ให้เด็กแผนกอื่นได้ชื่นชมกันจะๆ ฝีมือพวกนี้ก็ระดับพระเจ้าทั้งนั้น ดูแล้วก็น้ำหลายไหล แกมอึ้ง ทึ่ง อยากวาดได้แบบนี้บ้าง



ปาร์ตี้วันเปิดงาน มีการให้เด็ก Character ทั้งหลายมานั่งวาดรูปภาพล้อให้เพื่อนๆในมหาลัย (ฟรี) ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมาก คนนั่งเป็นแบบกันไม่ขาดสาย ระหว่างวาด พวกแผนก music ก็เล่นดนตรีให้ฟังไปด้วย ปาร์ตี้วันพฤหัสจะเป็นแบบนี้ คือแต่ละ school มีงานเปิดโชว์กัน บางทีก็มั่วไปหมด เลือกดูไม่ถูก แต่เด็กก็ได้ดูงานที่หลากหลาย เรียกว่าเป็นเสน่ห์ของที่นี่อย่าง คือ แต่ละภาคมันรวมๆกัน ไม่ได้แยกออกห่างจากกันเท่าไหร่ ก็โรงเรียนมันเล็กนิดเดียว



เราก็ไปนั่งให้เขาวาดด้วย นั่งปุ๊ป แป๊ปเดียว ก็โดน 3 คนวาดให้ ออกมาเป็น 3 รูปนี้ (สาบานว่า 3 รูปนี่ นายแบบคนเดียวกัน)

รูปที่ 1 คนที่วาดคือ Mario ซึ่งคือคนที่เราทำวงกลมสีฟ้าเอาไว้ใน คนนี้เขียน Web Journal ด้วย ซึ่งเป็น Journal เกี่ยวกับ CalArts ที่ดีที่สุดที่เราเคยเจอมา แม้จะเน้นไปในแผนก animation ก็ตาม เพราะเขาเขียนตั้งแต่วันแรกที่เข้าเรียน จนตอนนี้อยู่ปี 4 แล้ว ก่อนเรามา เราก็ทำงานรู้จัก CalArts จาก Journal ของเขานี่แหละ ลองเยี่ยมชม Website ของเขา แล้วมองทางซ้าย จะเจอลิงค์

รูปที่ 2 วาดโดย Ed คนนี้ก็ฝีมือเยี่ยม แอบชื่นชมฝีมือมานาน ได้มาเจอตัว ตอนดันไปลงเรียนคลาสเต้นด้วยกัน ก็เลยของให้เขาวาดให้ซะหน่อย ลองไปดูงานของเขาได้ที่ Web ด้านล่างหน้าแรกเว็บ มีลิงค์ไปที่ blog ด้วย

รูปที่ 3 วาดโดยเด็กเข้าใหม่ ชื่อ Monica ไม่รู้มี blog หรือเปล่า ไม่ได้ถามซะด้วยสิ

ส่วนรูปไหนเหมือนสุดคงต้องดูเอาเอง แต่ดูจากที่พวกนี้เขาวาดกัน บางคนก็วาดซะเหมือนมาก บางคนก็ไม่ได้เน้นเหมือน แต่เน้นมันส์ :-p

Tuesday, January 23, 2007

Visiting Artist: Ernie Gehr

เห็นพี่ MdS เพิ่งจะโพสต์ว่า อยากดูหนังของ Ernie Gehr ซึ่งพอดี เขาเพิ่งมาเป็น Visiting Artist เมื่อเทอมก่อน ก็เลยจะพูดถึงซักหน่อย

Ernie Gehr เขาทำหนังตั้งแต่ยุค 60 โน้น เป็นคนทำหนังทีบุคลิกไม่เหมือนคนทำหนังเลย นิ่งมาก เรียบมาก เฉยๆ แข็งๆ ดูเหมือนวิศวกรมากกว่า ส่วนหนังของเขาก็นิ่งสงบพอกับตัวเขาเนี่ยะแหละ แต่เขาพูดเก่ง พูดจาฉลาดน่าฟัง หน้าตาของ Ernie Gehr ก็ประมาณนี้ (ถ่ายมาจากสมุดโน้ตเราเอง)



หนังที่เขามาฉายให้ได้ดูได้แก่
- Wait
- Serene Velocity
- This side of Paradise
- The Collector
- The Mose Code Operator (or the Monkey Wrench)
- Before the Olympics
- Essex Street Market
- Noon Time Activities
- Workers Leaving The Factory After Lumiere
- Greene Street
- Passage

ส่วนความรู้สึกของเราที่ได้ดูหนังบางเรื่องเขา ขอแอบกระแดะเขียนเป็นกวีได้ดังนี้ (เอามาจากส่วนหนึ่งของ paper ที่ต้องเขียนส่งอาจารย์)

....
They’re simple.
They’re silent.
But listen closely,
and you can hear stories floating in the air.
Like whispers.
....

ดูหนังเขาแล้วรู้สึกเหมือนเหม่อมองสภาพแวดล้อมรอบข้าง รู้สึกเหมือนหลุดอยู่ในภวังค์มากกว่าที่จะมีสติ เหมือนเวลารอใครซักคนแล้วเขาไม่มาซักที แล้วตามันเผลอไปมองโน้นมองนี้ แต่ใจไม่ได้อยู่กับเนื้อกับตัวหรอก แต่ถ้าจับภาพพวกนั้นที่ตาเห็นมาทำเป็นหนังแล้วล่ะก็ มันก็จะกลายเป็นหนังของ Ernie Gehr (บางเรื่อง) ส่วนหนังเรื่องอื่นๆ เขาก็เล่นกับ space และ time เยอะ เป็นหนังที่จับคลื่นเวลาและอากาศธาตุในสถานที่ได้แบบหวิวๆ

....

ไปๆมาๆ พี่ MdS เป็นดั่งดัชนีีชี้ว่า Visiting Artist คนไหนสำคัญ เพราะที่นี่ เราได้เจอ Visiting Artist เยอะ ซึ่งบางทีเราก็ไม่ได้สำเหนียกเลยว่า เขาสำคัญหรือดังแค่ไหน ทำให้เราตระหนักว่า เออ จริงๆแล้วการมาเรียนที่นี่ นอกจากได้เปิดหูเปิดตา ได้เรียน ได้อะไรๆอื่นๆแล้ว อย่างน้อยที่สุด ก็เรียกว่า ทำให้เราได้มีโอกาส "กระทบไหล่คนดัง" ได้พบปะพูดคุยกับศิลปินแบบตัวเป็นๆ

แต่พูดก็พูดเถอะ เราว่าเมืองไทยโชคดีมากเลยที่มีร้านแว่น มันผิดกฎหมาย แต่มันก็คือแหล่งการศึกษาชั้นดี ไหนที่ไทยมีสถานฑูตฝรั่งเศส เยอรมัน ญี่ปุ่น ฉายหนังดีๆมากมาย เทศกาลหนังที่ไทยก็มี งานแสดง gallery ก็มีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆทุกวัน ถ้ามุ่งมั่นเอาจริงเอาจังตามดูซะอย่าง

ดูอย่างพี่ MdS สิ เขาทำให้เรารู้ว่าเมืองไทยมีของดี มีแหล่งการศึกษาซ่อนอยู่เต็มไปหมด ส่วนว่า พี่เขาดูอะไรเยอะขนาดนั้นได้อย่างไร อันนี้ก็ไม่ทราบได้ พี่เขากิน เขานอนหรือเปล่า อันนี้คงต้องถามเจ้าตัว

Thursday, January 18, 2007

เริ่มเรียนเทอม 2 แล้ว!

วันนี้เหนื่อยมากเลยขอบอก เพราะว่าอาทิตย์นี้เปิดเรียนแล้ว วันนี้เป็นวันที่ 3 สำหรับเทอมที่ 2 เราเรียนตั้งแต่ 9 โมงเช้า ยัน 4 ทุ่ม พักแค่ 1 ชั่วโมงกินข้าวเที่ยงเท่านั้น ท่านจงตระหนักดู... เมื่อวานเราเรียนตั้งแต่ บ่าย 1 โมง ยัน 5 ทุ่ม พอจะเห็นภาพหรือเปล่า... พรุ่งนี้เช้าเรามีคลาสตั้งแต 9 โมง จินตนาการดูแล้วกัน

ที่มันเยอะขนาดนี้ ก็เพราะเราบ้าพลังเอง ตอนนี้เราลงไป 19 หน่วยกิจ (ปกติเขาบอกว่าไม่ควรลงเกิน 20)
ซึ่งนั่นหมายถึง 9 คลาส แต่ด้วยความบ้าพลังกลัวไม่คุ้ม เราก็เลยไปนั่ง sit in กับเขาในคลาสอื่นๆด้วย ที่เขาเรียนในโรงหนัง (CalArts มีโรงหนังเล็ก ขนาดโรงที่ House ได้) คือไม่ต้องละทะเบียน แต่ก็ไปนั่งดูหนัง ฟังอาจารย์พูดไปด้วย เรียกว่าเนียนๆไป เขาก็ไม่ว่าอะไร ซึ่งเราทำอย่างนี้อยู่ประมาณ 5 คลาส สรุปก็คือ เราไม่เจียมสังขาร แล้วมาทำบ่น



จริงๆก็ไม่ได้บ่น เพราะอยากเอง คือไม่รู้ยังไง อยู่ดีๆเทอมนี้ก็มีคลาสน่าสนใจกำเนิดขึ้นพร้อมๆกัน จนไม่รู้จะเลือกลงยังไง รักพี่เสียดายน้อง บางทีเวลามันก็ตรงกัน แต่ที่แน่ๆเทอมนี้ต้องอ่านหนังสือเพียบๆๆ เมื่อวานมีคลาส DELEUZE and CINEMA ซึ่งหนังสือออกแนวปรัชญามากๆ เข้าใจยากสุดๆ แต่ท้าทาย รู้สึกเหมือนเป็นเด็กปริญญาโทดี :p
เอาไว้พอมีเวลา จะมาลิสต์คลาสที่เรียนเทอมนี้ แล้วก็หนังสือที่ต้องอ่านให้ดูคร่าวๆเผื่อมีใครสนใจอยากอ่านบ้าง

Sunday, January 14, 2007

Registration Day





วันลงทะเบียนเรียนที่นี่ มีบรรยากาศดั่งในรูปที่เห็น บริเวณนี้คือ Hall ตรงกลางตึกเรียน ที่ CalArts ไม่มีการลงทะเบียนโดยตรงผ่านทางคอมพิวเตอร์ด้วยตัวเอง แต่ต้องมาคุยกับอาจารย์ตรงหน้าต่อตา โดยแต่ละ school เขาก็จะมาตั้งโต๊ะ แล้วอาจารย์แต่ละคนก็จะมานั่ง เด็กอยากลงวิชาอะไร อาจารย์คนไหนสอน ก็ไปหาไปคุยกับอาจารย์แล้วก็เซ็นชื่อลงกระดาษ โลว์เทคขนาดนี้ เพราะอาจารย์ที่นี่เขาโหวตกัน แล้วคะแนนที่ชนะคือ ไม่เอาลงทะเบียนทางคอมพ์ เพราะอาจารย์อยากเจอหน้าเด็ก อยากคุยกับเด็ก วัน registration ก็เลยวุ่นวายแต่ก็เป็นกันเองอย่างที่เห็นนี่แหละ (แต่สุดท้ายพอลงเสร็จ ก็ต้องไปแจ้งแผนกทะเบียน แล้วกรอกรายละเอียดลงคอมพ์อยู่ดี)

เทอมนี้เราลงไปแล้ว 19 หน่วยกิจ (ปกติลงได้มากสุด 20 อย่างที่เคยบอกในโพสต์ก่อน) อยากลงมากกว่านี้ แต่ mentor ดูเหมือนไม่ค่อยอยากจะให้เราลงมากเกินไป เราเองก็พยายามประมาณตน ว่าถ้าลงมากกว่านี้ อาจจะรับมือไม่ไหวซะเอง แต่อย่างไรก็ตาม วางแผนไว้แล้วว่าจะไป sit in อยู่หลายคลาส สุดท้ายก็เหมือนเรียนเกิน 19 นั่นเอง ก็อย่างว่า เอาให้คุ้ม

Thursday, January 11, 2007

สรุป Class ที่เรียนไปเมื่อเทอมแรก

พรุ่งนี้แล้ว ที่จะต้องลงทะเบียนคลาสสำหรับเทอม2 เทอมใหม่นี้ีมีคลาสน่าลงเพียบ เสียดายที่คงต้องสละบางคลาสไป เพราะเวลาดันตรงกันบ้าง หรือไม่อาจจะไม่มีเวลาให้กับมันได้มากพอบ้าง ที่มีคลาสให้เลือกเยอะมาก ส่วนหนึ่งเพราะที่ CalArts มันมีหลาย school แต่เด็กอยากเรียนข้าม school กันก็ทำได้ เช่น เป็นเด็ก film แต่อยากเรียน dance ถ้าคิดว่ามีปัญญา ก็ทำได้ แค่เข้าไปคุยกับอาจารย์เขา ปริญญาตรีกับโทก็เรียนปนๆกัน เลยมีอิสระที่อยากเลือกอะไรก็เลือก

ปกติเขาให้เรียนได้เทอมละ 20 หน่วยกิจ เทอมที่แล้วเราล่อเรียนไป 23 หน่วยกิจ คลาสที่เรียนไปมีดังนี้

CINEMATOGRAPHY

ทฤษฎีเกี่ยวกับการถ่ายภาพเน้นเกี่ยวกับฟิล์ม เป็นวิชาเดียวที่เน้น lecture เป็นหลัก และเป็นวิชาเดียวที่จบเทอมมีการสอบข้อเขียน ซึ่งเราก็ top ชั้นไปตามระเบียบ เพราะเราเก่งท่องจำ 55



FILM PRODUCTION WORKSHOP
คลาสต่อเนื่อง เป็นเวิร์คช้อปการใช้กล้องฟิล์ม ถ่ายด้วยฟิล์ม ต้องเรียนการจัดแสง การวัดแสง ใช้กล้อง ทุกอย่างนั่นแหละ จบคลาส ต้องทำหนังด้วยฟิล์ม 1 นาทีกันคนละ 1 เรื่อง ด้วยกล้องฟิล์ม 16 Bolex หรือ Arri



VIDEO PRODUCTION WORKSHOP
เรียนการถ่ายด้วยวิดิโอ แล้วก็ทฤษฎีเกี่ยวกับวิดิโอ สุดท้ายทำหนังสั้นๆไป 2 เรื่อง

DIGITAL EDITING
เรียนการใช้ Final Cut Pro (โรงเรียนนี้เน้น Mac เป็นหลัก ปกติเราเคยใช้แต่ premiere)



PRODUCTION SOUND
เรียนทฤษฎีเกี่ยวกับการบันทึกเสียง ฝึกใช้อุปกรณ์ บูม ไมค์ชนิดต่างๆ เครื่องมิกซ์ทั้งหลาย แล้วก็ลองถ่ายทำกันจริงๆ โดยแบ่งหน้าที่กันทำคนละอย่าง บูมมันหนักจริงๆเลย



FILMMAKING FUNDAMENTAL
นั่งดูงานเพื่อนในคลาส ทั้งที่เสร็จแล้ว หรือกำลังทำอยู่แล้วต้องการคำแนะนำ ทุกคนช่วยกันวิจารณ์ แลกเปลี่ยนความเห็น อาจารย์ James Benning ก็วิจารณ์ด้วย ชอบคลาสนี้มาก รู้สึกว่าเพื่อนๆเก่ง อาจารย์ก็เก่ง

SOUND&IMAGE
ดูหนังฟังเสียง วิเคราะห์ความสัมพันธ์ของภาพและเสียง อิทธิพลที่มีต่อกัน บางวันก็นั่งมิืดๆอยู่ในโรงหนัง ฟังเสียงไปเรื่อยๆ ดนตรีมาก sound ประหลาดๆบ้าง มีวันนึงนั่งฟังเสียงกบชนิดต่างๆไปครึ่งชั่วโมงในความมืด เป็นคลาสที่เราว่า"cool" และกระตุ้นความคิดดี

STRUCTURING STRATEGY
คลาสนี้ แต่ละสัปดาห์จะเชิญ artist มาบรรยายและฉายหนัง หนึ่งในนั้นคือพี่เจ้ย อภิชาติพงศ์ นั่นเอง



FILM TODAY
นั่งดูหนังน่าสนใจในโรง แล้วก็วิจารณ์กันหลังหนังจบ ทุกสัปดาห์ต้องส่ง Paper เกี่ยวกับหนังเรื่องที่ดู คนสอนคือ Thom Andersen ผู้เป็นอาจารย์ mentor ของเรา (ดูรูปประกอบ คนนี้แหละที่เขาลือกันว่า Tim Burton เอาไปเป็นต้นแบบตัวละครอย่าง Beetle Juice กับ Jack Skellington) คลาสนี้เองทีทำให้เราได้เจอกับ Pedro Costa คนทำ Colossal Youth

ESSENTIALS
คลาสของ Experimental Animation ที่เราไปขอเขาเรียน สอนเกี่ยวกับพื้นฐานอนิเมชั่น แต่ละอาทิตย์เราต้องทำ animation สั้นๆส่งตามหัวข้อที่เรียน เอาไว้วันหลังจะโพสต์ animation ที่เราทำ เป็นคลาสที่สนุกมาก แต่กินเวลาเหลือเกิน

INSTITUTE DANCE
เป็นคลาสโมเดิร์นแดนส์! จาก dance school แต่พอดีคลาสนี้ออกแบบให้สำหรับผู้เริ่มต้น คนเรียนก็เป็นเด็กจาก school อื่นที่ไม่ได้เป็น major dance เช่นเดียวกับเรา เพราะฉะนั้นทุกคนก็ประดักประเดิดเหมือนกันหมด เรียนคลาสนี้เพื่อความมันส์ สนุกดี

นอกจากนี้ ก็มีบางคลาสที่เราไม่ได้ลงทะเบียน แต่เราก็ไปนั่งๆแจมกับเขาด้วยเป็นประจำ เช่น RADICALIZING VISION กับคลาส animation บางคลาส

Wednesday, January 10, 2007

The Boss of It All ขำแบบอาร์ตๆ



หนึ่งในหนังที่เราอยากดูถึงมากที่สุด คือหนังเรื่องนี้ The Boss of It All หนังใหม่ของ Lars Von Trier ที่อยากดูสุดๆ ไม่ใชแค่เพราะเป็นหนังของ Von Trier เท่านั้น แต่เป็นเพราะมันเป็น comedy ด้วย อยากรู้จริงๆว่า ผู้กำกับใจร้ายคนนี้จะรับมือกับหนังตลกได้ยังไง

เพราะเราสงสัยมานานแล้วว่า ทำไมความเป็นอาร์ตกับความตลกมันไม่ค่อยจะไปด้วยกันเลย เพราะนึกถึงหนังอาร์ตทีไร มันก็จะนิ่งๆเบื่อๆลึกๆ ซึ่งต่อให้เราชอบมันมากแค่ไหน แต่ก็แอบคิดอยู่ตลอดเวลาแล้วอารมณ์ขันล่ะ? ทำไมเวลาดูหนังเยี่ยมๆทีไร มันเป็นหนังที่ได้แต่ทำหน้าตูด หน้าอึ้ง ทึ่ง หรือไม่ก็น้ำตาไหลลึก ทำไมไม่ค่อยได้ฮาระหว่างดูหนังอาร์ต แม้กระทั่งหนังสั้นของเราทำเอง ก็มีแต่หนังหลับๆนิ่งๆ(แทบ)ทั้งนั้น อารมณ์ขันเราหายไปไหนหว่า เราก็ว่าเป็นคนตลกนะ(แม่บอก) อย่าบอกนะว่าคนทำหนังอาร์ตไม่ชอบหัวเราะ ไม่งั้นจะไม่คบ จริงๆแล้วอารมณ์ขันเป็นวัตถุดิบสำคัญไปสู่การบรรลุด้วยซ้ำ ดูรอยยิ้มบนปรมาจารย์เต๋าทั้งหลายสิ อารมณ์ดีจะตาย อารมณ์ขันมันผิดตรงไหน?

จะว่าไป หนังอาร์ตหลายเรื่องก็แทรกอารมณ์ขันกันอยู่เยอะ จะขำกันเนียนๆแอบๆ ขำกันนิ่งๆหน้าตายก็เห็นบ่อย ขำแบบจู่ๆขำไม่ทันตั้งตัวก็มี แต่ที่เน้นขำกันเป็นหลัก ไม่ใช่ซ่อนอยู่หยิมๆนั้นมีไม่เยอะ ประเภทจัดวางในร้านวิดิโอต้องอยู่หมวด comedy หาไม่ค่อยได้

ในคลาสที่โรงเรียนก็เคยถกกันถึงอารมณ์ขันว่าทำไมคนทำหนัง"จริงจัง"ทั้งหลาย หวาดกลัวกับอารมณ์ขัน เป็นเพราะอารมณ์ขันของแต่ละคนมันต่างกันเกินไปหรือเปล่า เป็นเพราะอารมณ์ขันมันแบ่ง class ของคนหรือเปล่า หรือเพราะการหัวเราะมันตื้นเขิน ไม่ลึกซึ้งพอ หรือเพราะอะไรกันแน่ มีอยู่วันนึงในคลาสชื่อ Radicalizing Vision ซึ่งเป็นคลาสฉาย "หนังอาร์ต" ระดับ Hardcore ประเภทไม่อดทน ย่อมแพ้พ่าย อาจารย์จัด Theme "Comedy" ฉายหนังเน้นอารมณ์ขันโดยเฉพาะ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศที่เยี่ยมมาก แม้หนังอาร์ตพวกนี้จะไม่ได้ฮาแบบขี้แตก แต่เป็นฮาแบบพิลึก ตลกแบบอาร์ตๆ ประเภทดูแล้วเอ๊ะ... ขำดีหรือเปล่า แรกๆกระมิดกระเมี้ยนขำ หลังๆก็ขำก๊าก สดชื่นดีแท้



กลับมาที่ Von Trier ต่อ แม้จะทำหนังตลก แต่เขาก็ยังไว้ลาย ด้วยการทำหนังตลกที่ไม่ธรรดา ใครดูตัวอย่างจะเห็นมุมกล้องพิลึกๆ ไม่ใช่เพราะเจ้าตัวเลือกมุมกล้องแบบนั้นเพื่อความเท่ แต่เพราะเขา"เคลม"ว่า เขา "no longer see the point in framing" เขาทำหนังเรื่องนี้โดยไม่ใช้ตากล้อง แต่ใช้ระบบที่เขาจดทะเบียนแล้วมีชื่อว่า Automavision ซึ่งคือหลังจากเลือกตำแหน่งกล้องว่าควรอยู่ตรงไหนแล้ว เขาให้คอมพิวเตอร์เลือกมุมกล้อง เลือกการแพน เลือกโฟกัส เลือกแม้กระทั่งเสียง ตามพารามิเตอร์ที่ตั้งไว้ ได้ออกมายังไง เขาก็ใช้อย่างงั้น อะไรประมาณนั้น

แถมเขายังมี lookey อันเป็นสิ่ง "แปลกปลอม" อยู่ในหนังอีก 5-7 อย่าง ให้คนดูคอยจับตาเหมือนเล่นเกมส์ โดยแต่ละอย่าง มีความสัมพันธ์กันตามตรรกะของหนัง หรืออะไรซักอย่าง คนดูคนไหนจับได้หมด ได้สิทธิ์ไปเป็นตัวประกอบหนังใหม่เรื่องต่อไปด้วย ...เอาเข้าไป (แอ๊ะ อย่าโลดเต้นไป คนไทยหมดสิทธิ์นะ เพราะเขาให้แค่คนเดนมาร์ก)

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความตลกประหลาดเรื่องนี้ได้ที่เว็บ http://www.direktorenfordethele.dk/
ระหว่างรอหนังเรื่องนี้ฉาย ไปเอา Zoolander มาดูอีกดีกว่า :p

Tuesday, January 09, 2007

กลับบ้านนอก

จากนักเขียนจากเมือง LA กลับสู่ภูมิลำเนาเราที่ Valencia เตรียมตอนรับเทอมการศึกษาใหม่ อารมณ์เหมือนเด็กบ้านนอกจากกรุงเทพฯเพื่อกลับบ้านเกิด Valencia มันช่างเงียบสงบซะจริง โดยเฉพาะตอนนี้ที่เด็กหอทั้งหลายยังกลับกันมาไม่หมด แคมปัสก็เลยเงียบๆตายๆ แต่ก็มีบางคนนะที่อยู่ที่หอตลอดทั้งเบรก ถามเขาว่าทำอะไร บ้างก็ว่าทำงานบ้าง นอนเฉยๆบ้าง บอกคนบอกว่าเวิร์คเอาท์อยู่ในห้อง ...แหม ทำไปได้

เมื่อคืนเน็ตก็เจ๊งเสียอีก จะตัดหนังกล้องก็ดันอยู่กับนักเขียน เงียบๆแบบนี้คงไม่มีอะไรดีไปกว่าการอ่านหนังสือ เลยหยิบมาพลิกอ่านไปซะ 4-5 เล่มทีละนิดทีละหน่อย ปีใหม่มานี้ อ่านหนังสือจบไปแล้ว 3 เล่ม อยากแนะนำ 2 เล่ม อันได้แก่



- The Tao of Pooh โดย Benjamin Hoff
ชอบสุดๆๆๆๆ เรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง ซื่อๆแต่ซับซ้อนในคราวเดียวกัน คิดอยู่ว่าจะอ่าน The Te of Piglet ต่อ แต่เหมือนกับมีแต่คนบ่นว่า อีกเล่มไม่ดีเท่า ราวกับเป็นคนละคนเขียน
- The Book of Laughter and Forgetting ของ Milan Kundera
ฉลาดลึกเช่นเคย ไม่รู้สมองเขาคิดได้ยังไง สรุปตอนนี้เราเหลือ คุนเดระ อีก 8 เล่มที่ต้องอ่าน -_-' (อ่านไปแล้ว 5) สู้นักเขียนไม่ได้ เพราะนักเขียนอ่านครบทุกเล่มเรียบร้อยแล้ว (ลาภปากเราแท้ๆ เพราะเราไม่ต้องซื้อ โฮะๆๆ)

Sunday, January 07, 2007

โดน Tag กลางวันแสกๆ

----------------------------------------------------------------------
celinejulie said...
น้อง BOAT โดนดิฉัน tag แล้วนะ

blog tag ในที่นี้คือการบอกอะไรเกี่ยวกับตัวเองมา 5 อย่างแล้วเอาไป tag คนอื่นต่อ เหมือนเป็นจดหมายลูกโซ่ประเภทหนึ่ง

อ่านของดิฉันได้ที่
http://celinejulie.blogspot.com/2007/01/technopolyclinic.html

ดูร่องรอยของ BLOG TAG ได้ที่
http://www.keng.ws/files/blog-tag_trace.html
(รู้สึกว่าเขาจะสะกดชื่อเว็บบล็อกเราผิด ฮ่าๆๆ)
----------------------------------------------------------------------

ครับๆๆๆ TAG ก็ TAG ครับ :-)

ต้องเขียนเรื่องเกี่ยวกับตัวเองที่คนอื่นไม่รู้นี่ยากอยู่ เพราะเราไม่รู้ว่าคนอ่านเป็นใคร เพราะแต่ละคนก็รู้เรื่องเกี่ยวกับเรามากน้อยไม่เท่ากัน เอาเป็นว่าเราจะเล่าย้อนอดีตเกี่ยวกับเหตุการณ์สำคัญๆบางอย่างเกี่ยวกับ"หนัง"
(ในเมื่อบล็อคนี้มันควรจะเกี่ยวกับหนัง?) ที่เราคิดว่ามีผลให้เราเป็นเราอยู่ตอนนี้ก็แล้วกัน



1. เราเป็นคนที่ดูหนังมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะพ่อแม่ชอบดูเลยต้องพาเราเข้าโรงหนังไปด้วย เราคือหนึ่งในเด็กที่ก่อความรำคาญในโรงด้วยการถามโน้นถามนี่ตลอดเวลา เพราะไม่เคยเข้าโรงที่เป็นพากย์เสียงภาษาไทยเลย(นอกจากดูหนังไทย หรือหนังจีน) และตอนนั้นอ่านซับไตเติ้ลก็ไม่ทัน บางทีแม่ก็ตอบ บางทีแม่ก็ไม่ตอบ บางทีแม่ก็ปิดปากเรา บางทีแม่ก็ปิดตาเราเวลามีฉากโป๊ในหนัง ซึ่งเราก็จะพยายามแหกลูกตาให้กว้างที่สุดเพื่อมองลอดช่องเล็กๆระหว่างนิ้วให้ได้

หนังโรงเรื่องแรกที่จำได้ (แต่มั่นใจว่าไม่น่าใช่เรื่องแรกจริงๆ) คือเรื่อง "ครูไหวใจร้าย" อาจเพราะเป็นภาษาไทยก็ได้ เลยจำได้มากกว่าเรื่องอื่น นอกจากหนังโรงแล้ว พ่อแม่ยังชอบพาไปดูหนังตามเทศกาลต่างๆ คุ้นๆว่าเคยไปดูหนังที่เกอเธ่ด้วย



2. เราบ้าดูการ์ตูนมาก โดยเฉพาะการ์ตูนดิสนีย์ทั้งหลาย จะเช่ามาดูซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่นั่น แต่หนังการ์ตูนที่เปลี่ยนชีวิตเราคือ Aladdin ที่ทำให้เกิดความคิดอยากเป็น animator และเริ่มค้นคว้าทุกอย่างเกี่ยวกับ animation ซื้อหนังสือทุกเล่มที่หาซื้อได้ หาการ์ตูนเก่าๆของดิสนีย์ (และไม่ดิสนีย์) มาดู ทั้งที่เคยดูแล้วและไม่เคยดู

แล้วเราก็ได้ดู Beauty and the Beast อีกรอบ ทั้งๆที่จริงๆเคยดูในโรง แต่ตอนนี้การกลับมาดูอีกครั้ง ทำให้เรามองมันเปลี่ยนไป เดือนนั้นหยิบ Aladdin กับ Beauty and the Beast ดูสลับกันไปมาทุกวัน แม่ตกใจว่าเป็นบ้าอะไร สุดท้ายตอนนี้ ได้ดู Beauty and the Beast ไปแล้วมากกว่า 50 รอบ จำบทสนทนาในหนังการ์ตูนดิสนีย์ยุคหลังๆได้หมด ตั้งแต่ต้นเรื่องจนจบ ฟังซาวน์แทรกจนขึ้นใจ ใฝ่ฝันอยากไปทำงานที่ Disney ตอนนั้น animation คือชีวิตของเรา และมันก็พาไปสู่การเป็นแชมป์รายการแฟนพันธุ์แท้

แม้ว่าตอนนี้เราไม่ได้บ้าการ์ตูนดิสนีย์เหมือนแต่ก่อนแล้ว (เพราะมันไม่มีอะไรน่าสนใจอีก) แต่มองย้อนกลับไปก็อดยิ้มไม่ได้ว่า เคยบ้าคลั่งได้ขนาดนั้น และที่ฮากว่าคือ ตอนนี้ได้มาเรียนที่ CalArts มหาลัยในฝันตั้งแต่เด็ก เพราะทีมงานดิสนีย์และพิกซ่าร์ต่างจบกันมาจากที่นี่ และมหาลัยนี้ก่อตั้งโดย Walt Disney



3. . หนังสือหนังเล่มแรกที่ซื้อคือ "Starpics" หน้าปก The Firm คิดว่าซื้อตอนประมาณ ม.2 หรือ ม.3 เมื่อมีเล่มแรกก็มีเล่มต่อๆไปอีก รู้ตัวอีกที ก็ซื้อนิตยสารหนังทุกเล่มที่หาซืื้อได้ และซื้อทุกฉบับในยุคนั้นด้วย Starpics, Entertain, Cinemag, Star&Style(ชอบเล่มนี้มาก โป๊ดี), FilmView, หนังสือหนังที่แมงป่องทำ แล้วอะไรอีกหว่า???? คือซื้อมันทุกเล่มที่ขวางหน้า เพื่อนๆม.ต้น เขียนถึงเราในหนังสือรุ่นว่าเป็น "Hollywood เคลื่อนที่"



4. หนังเรื่องแรกที่ให้เรารู้สึกว่่าหนัง ไม่ใช่แค่อะไรที่ดูไปเพลินๆอีกต่อไป แต่กลายเป็นอะไรที่พิเศษและกระทบใจอย่างยิ่ง คือหนังเรื่อง "Strictly Ballroom" มันเป็นเรื่องที่ทำให้เกิดไฟในตัวอย่างรุนแรง จำได้ว่าไปดูในโรงกับแม่ และบอกแม่ว่า หนังเรื่องนี้พิเศษจริงๆ ไม่รู้แม่เข้าใจความรู้สึกหรือเปล่า หลังจากนั้นก็เริ่มขวนขวายดูหนังจากอย่างเป็นจริงเป็นจังมากขึ้น ไม่ใช่ดูตามโรงหนังทั่วๆไปอีกต่อไป เริ่มรู้จักร้านแว่น และก็ซื้อวิดิโอมาเก็บไว้ดองเต็มไปหมด ซึ่งจนบัดนี้ ก็ยังดูวิดิโอพวกนั้นไม่หมด (ไม่นับดีวีดีที่ตามมาอีกหลายร้อยเรื่อง) แต่ตอนนั้นก็ยังไม่คิดว่าจะอยากมาทำหนัง (แต่ยังอยากเป็น Animator อยู่ถ้าเป็นไปได้)



5. ระหว่างเรียนมหาลัยที่คณะสถาปัตย์ก็เริ่มรู้ตัวแล้วว่าอยากทำหนังมากกว่าทำงานสถาปัตย์ เพราะตอนนั้นได้ไปเรียนหนังกับอาจารย์แดง และก็รู้สึกว่าการเรียนหนัง ใกล้ชิดกับหนังอย่างจริงจัง มันสนุกได้ขนาดนี้เลยเว้ย จึงมั่นใจมากขึ้นว่า น่าจะมาทางนี้ต่อไปอีกเรื่อยๆดู เราทำ Thesis ตอนเรียนสถาปัตย์เป็นบริษัท animation ช่วยนักเขียนเขียนบทละครเวทีสดใสอวอร์ด จบมาก็ไปฝึกงานทำหนังกับลูกพี่ และที่เหลือก็อย่างที่เห็นจนบััดนี้

อนาคตไม่รู้เป็นยังไง เราอาจจะทำหนังต่อไปเรื่อยๆ หรืออาจจะเปลี่ยนใจไปทำอย่างอื่นก็ได้ ซึ่งจากการสังเกตตัวเอง เราอาจจะทำมันทุกอย่างก็ได้ (ข้อนี้มีแนวโน้มมากที่สุด) อะไรอย่างเดียวมันไม่พอ เพราะชีวิตมันมีมากกว่าหนัง

----------------------------------------------------------------------

TAG ต่อนะครับ ไปที่
1. http://laughable-loves.blogspot.com/ นักเขียน
2. http://msoc.blogspot.com/ เพื่อนวัยรุ่น

Comedy Improv ฮาซึ่งๆหน้า



ใครไม่รู้จัก comedy improv ก็ขอให้นึกถึงรายการ Whose Line Is It Anyway?
ที่ให้นักแสดง 4-5 มารับเงื่อนไขต่างๆ และทำตลกกันสดๆต่อหน้าต่อหน้าคนดูตามเงื่อนไขที่ให้ จริงๆเราก็ไม่รู้จักมันดีนักหรอก เพราะเท่าที่เข้าใจ การแสดงแบบนี้มันไม่มีในเมืองไทย แต่เคยได้ยินมาก่อน พอเห็นว่ามีโชว์อยู่แถวๆบ้านนักเขียนเลยไปดูกัน

วันนี้ไปดูมาเป็นวันที่สองแล้ว สนุกมากเลย วันแรกเป็นกลุ่มนักศึกษามือใหม่(แต่ฝีมือไม่ใหม่เลย) ส่วนวันนี้เป็นกลุ่มที่เล่นกันจริงจังหน่อย แต่ละโชว์ยาวประมาณ 1-2 ชั่วโมง เล่นกันทีละ 5-8 คน บางทีก็ขอให้คนดูช่วยคิดคำหรือประโยคอะไรก็ได้มา 3 อย่าง อย่างวันนี้เราเสนอคำว่า "Dragon" แล้วเขาก็เอามาผูกโยงเป็นเรื่องเป็นราวกันสดๆ tact team กันเล่นสลับไปมา ดูไปก็ลุ้นมาว่ามันจะออกมาอีกท่าไหน แต่พวกนี้เขาหัวไวกันจริงๆ ฮาขำกลิ้งเป็นบ้าเป็นบอ

จินตนาการว่าถ้าตัวเองไปอยู่บนเวที ต้องตายแน่ๆ คือให้ต่อเรื่องไปเรื่อยๆอาจจะได้ แต่คงไม่ขำ กลายเป็นน่าสมเพชไปเสียก่อน แต่เขาก็ว่าของแบบนี้มันเรียนรู้กันได้ แล้วเขาก็เปิดสอน workshop ให้ด้วย แต่ว่าต้อง audition ก่อน workshop เข้าใจว่ากับคนบางคน คงหมดหนทาง เกินเยียวยาจริงๆ (หวังว่าเราคงไม่เป็นอย่างนั้น) เสียดายที่ภาษาอังกฤษตัวเองยังกะเหรี่ยงอยู่ ไม่งั้นอยากไปเข้าเวิร์คชอปกับเขาบ้าง (แต่ว่าเทอมหน้าจะลงเรียน acting เพื่อความมันส์)

แล้วคุณล่ะตลก ไหวพริบดี เอนเนอจี้สูง และกล้าแสดงออกหรือเปล่า ถ้าใช่ มาทำ comedy improv show ในเมืองไทยกันเถอะ สนุกดี คนดูก็ฮา นักแสดงก็สนุก เหมือนได้มาเฮฮากับเพื่อน ซ้อมก็ไม่ต้องซ้อมเพราะไม่งั้นมันก็ไม่ใช่ improv(ise)

Saturday, January 06, 2007

Children of Men



Alfonso Cuarón เป็นผู้กำกับที่น่าสนใจมาก เขาทำหนังพาณิชย์ได้อาร์ตดี หรือไม่ก็เรียกว่าทำหนังอาร์ตได้พาณิชย์ดี ไม่รู้นิยามไหนเข้าท่ากว่ากัน แต่ที่แน่ๆเขาทำหนังได้สนุกและหลากหลายดี

Children of Men เป็นหนังที่สนุกมาก และทำให้เราทึ่งมากกับความสามารถของเขาในการสร้างบรรยากาศของหนัง ความตลาดที่แตกต่าง ความท้าทายที่เข้าใจง่าย อารมณ์ขันกับความตึงเครียด แต่ที่อยากจะร้องไห้คือเทคโนโลยี CG ที่เอามาใช้ มันระดับพระเจ้าโดยแท้ แถมใช้ได้เนียนไม่กระโตกกระตากอีกด้วย ทั้งแบบที่เดาได้่ว่าคงใช้ CG ช่วย (ไม่ใช่เพราะดูหลอก แต่เพราะมันถ่ายจริงๆคงไม่ได้) กับแบบที่ไม่บอกก็ไม่รู้ ถ้าหนังเข้าเมืองไทยเมื่อไหร่ เราขอแนะนำให้ไปดูกันให้ได้ โดยเฉพาะฉากลองเทค 9 นาทีในรถ มันระดับต้องกราบตีนจริงๆ (...กับอีกหนึ่งฉากสำคัญ ขอเก็บเป็นความลับ)

ใครดูแล้วและอยากรู้ว่าเขาทำกันได้ยังไง ก็ลองเข้าเว็บนี้ (ต้อง register free ก่อน) ยิ่งอ่านก็ยิ่งทึ่ง เราไม่เข้าใจเลยว่า ผู้กำกับที่เวิร์คกับ CG เก่งๆเนี่ยะ สมองเขาทำงานยังไง

Thursday, January 04, 2007

The Museum of Jurassic Techonology



วันนี้เรากับนักเขียนไปทัวร์อีก Museum หนึ่ง ซึ่งหลายคนบอกนักบอกหนาว่าต้องมาให้ได้ มันคือ The Museum of Jurassic Technology ใช่แล้ว Jurassic ที่เป็นยุคไดโนเสาร์ และ Technology ก็คือเทคโนโลยี แล้วยุคไดโนเสาร์มันมีเทคโนโลยีได้ยังไง ? ก็นั่นน่ะสิ

พอถึงที่เราก็งงๆกันว่าเนี่ยะนะ มิวเซี่ยม ทำไมเหมือนห้องแถว แถมเป็นห้องแถวร้างอีกต่างหาก สงสัยปิดไปแล้วมั้ง แต่พอเข้าไปดูใกล้ๆ ก็เห็นปุ่มเล็กๆบอกให้กด พอกดก็มีผู้หญิงเดินมาเปิดให้เข้าไป ในนั้นก็มืดๆ เป็นไฟสีส้มๆ ดูลึกลับมาก ข้างในเหมือนเขาวงกตกลายๆเพราะมีหลายซอกมุม และของที่จัดแสดงแต่ละอย่าง เราไม่รู้จะอธิบายมันได้ยังไงดี คำที่น่าจะใช้บรรยายมันได้คือ "พิลึก", "พิศวง", "ลึกลับ, "'งงงวย", "เชี่ยอะไรของมันวะเนี่ยะ"



มันคล้ายๆกับว่าเราไปหลงอยู่ในห้องใต้ดินของนักเหล่านักวิทยาศาสตร์ แพทย์ ศาสตราจารย์ ยุคก่อน ที่สังคมไม่ยอมรับ แล้วที่นี่นี่ก็รวบรวมข้าวของของพวกเขาและก็ทฤษฎีต่างๆที่ถูกค้นพบ? มาอธิบายให้พวกเราฟัง(ในรูปแบบที่จริงจังมากที่สุด) เราได้เห็นจออธิบายเรื่องศาสตร์แห่งความทรงจำผ่านรูปทรงกรวยและการตัดของระนาบ เราได้เห็นเม็ดวัลนัทที่ต้องมองผ่านแว่นขยาย โดยมีคำอธิบายว่า ด้านหน้าของเม็ดวัลนัทนี้มีรูปสลักของช้าง สิงโต กระตาย หมาป่า ควาย ส่วนด้านหลังสลักประวัติศาสตร์ เราได้เห็ีนเขาบนกำแพง ที่มีคำอธิบายว่าพวกมันงอกออกมาจากผู้หญิงโบราณคนนึง แล้วก็มีห้องจัดแสดงของงานศิลปะขนาดจิ๋วที่ต้องมองผ่านกล้องจุลทรรศน์ ภาพสามมิติที่ต้องใส่แว่นดู มีห้องความเชื่อโบราณ มีห้องที่กำแพงโดยรอบเต็มไปด้วยทฤษฎีทางภาษาที่ค้นพบใหม่ ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่ออธิบายความคิดเชิงตรรกะโดยเฉพาะ มีโมเดลของเรือโนอาห์พร้อมผ่าเซ็กชั่นให้เห็นโครงสร้างภายใน ฯลฯ

ถ้าอ่านแล้วงงก็ไม่แปลก เพราะคนดูในมิวเซี่ยวก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ลองดูภาพประกอบบางส่วนที่จัดแสดงมิวเซี่ยมนี้ด้านบน แล้วจะเข้าใจอารมณ์ว่ามันประมาณไหน

คือมันเป็นมิวเซี่ยมที่ยิ่งอ่านคำอธิบาย ยิ่งดูของที่เขาจัดแสดงแต่ละอย่างแล้วก็ยิ่งไม่เข้าใจอะไรเลย แต่ทุกอย่างน่าทึ่งในความอัศจรรย์ และความพิลึกชวนพิศวงเป็นที่สุด และนี่แหละคือความเยี่ยมของมิวเซี่ยมนี่ เพราะมันสร้างประสบการณ์ประหลาดให้คนดู เราไม่อาจรู้ได้เลยว่านี่มันจริงหรือมันหลอกกันแน่ เพราะทุกอย่างมันดูจริงจังไปหมด

โบรชัวร์ของมิวเซี่ยมเขียนว่า
"The term museum meant a spot dedicated to the muses — a place where man's mind could attain a mood of aloofness above everyday affairs." ทุกคนบอกๆกัน ว่าถ้าจะไปที่นี่ก็ไปเลย ไม่ควรรู้อะไรมาก่อน เข้าเว็บมิวเซี่ยม ก็ไม่ช่วยอะไร เพราะมันต้องไปสัมผัสกับความน่าประหลาดใจด้วยตัวเอง

ตอนเรานั่งดูจออธิบายงานในห้องเล็กๆตรงมุมมืด (มันมืดไปหมดแหละ) มีผู้หญิงเดินเข้ามา และตกใจมากที่เห็นเรา นั่งอยู่ตรงนั้น เขารีบขอโทษขอโพยใหญ่ แล้วบอกว่า "Sorry, it's just that everything in this museum scares me" เราว่านั่นเป็นประโยคที่อธิบายมิวเซี่ยมนี้ได้ดีที่สุด

Wednesday, January 03, 2007

Venice Beach, the sun and the moon



ไม่ใช่ที่อิตาลี แต่เป็น Venice ที่ California ปกติท้องฟ้าที่นี่ไม่ค่อยมีเมฆ แต่เมื่อวานฟ้าสวยจับใจ มีแต่กล้องภาพนิ่งก็เลยกระหน่ำถ่ายเหมือนไม่เคยทะเลมาก่อน วันนี้กลับไปอีกรอบ พร้อมกับกล้องวิดิโอ แต่ฟ้าไม่เหมือนเดิมแล้ว พระจันทร์ก็ไม่เหมือนเดิม สีสันที่เคยเห็นก็ไม่เหมือนเดิม อย่างนี้แหละนะ ทำงานกับธรรมชาติ จะไปคาดหวังให้ได้ดั่งใจ เป็นไปไม่ได้ ต้องไหลตามเขาไป เราก็เป็นมนุษย์ตัวเล็กๆ คงไม่อาจไปเรียกร้องอะไรกับธรรมชาติได้ แต่ก็นี่แหละ เสน่ห์ของมัน ความคาดเดาไม่ได้ ความมหัศจรรย์หลายครั้งก็เกิดจากความคาดเดาไม่ได้ บางทีคนทำงานหนังก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อน เพราะมันเกิดขึ้นสดๆต่อหน้ากล้อง ถ้าทุกอย่างมันเป็นไปอย่างที่คิดไว้ แล้วมันจะสนุกตรงไหน จริงมั้ย

โวยวาย โวยวาย



เพิ่งมารู้วันนี้เองว่า บล็อคที่เราอุตส่าห์ทำจัดวางเลย์เอาท์ซะสวยงาม ยามเมื่อยลบนเครื่อง Mac แท้จริงแล้วเมื่อดูด้วย Internet Explorer ในเครื่อง PC มันเละเทะดูไม่ได้ไร้ซึ่งดีไซน์เป็นที่สุด ถึงกับช็อคซีนีม่า แล้วคำพูดเก่าๆของเพื่อนๆก็กลับมา แฟลชแบ็คราวกับภาพยนตร์ เช่น หาโน้นไม่เจอ ลิงค์ยาก บล็อคเข้าใจยาก อย่างโน้นอย่างนี้ ซึ่งไอ้เราก็ไม่เข้าใจว่า อะไรวะ... อุตส่าห์ออกแบบไว้ซะสวยงาม user friendly ขนาดนี้ ไฉนเพื่อนๆยังมาบ่นโน้นบ่นนี่อีก Damn Internet Explorer! เลยต้องมานั่งแก้ให้วุ่นอีก หวังว่าตอนนี้คงพอดูได้แล้วนะ สหาย PC ทั้งมวล นี่แหละนะ ไม่รู้จะมีระบบที่แตกต่างกันทำไม ทั้ง MAC ทั้ง PC ทั้ง PAL ทั้ง NTSC ต้องมาสละเวลาให้กับการรองรับอะไรพวกนี้

Tuesday, January 02, 2007

Margritte ที่ LACMA


1952


1958

อีกหนึ่งสถานที่ที่นักเขียนชอบพาไปคือ museum วันนี้ไปเยือนที่ LACMA ซึ่งกำลังจัดแสดงงานของ Rene' Margritte และศิลปินอื่นๆที่ได้รับอิทธิพลจากงานของ Margritte ประกอบกันไปด้วย เวลาละเลียดเดินดูงานในมิวเซี่ยมทีไร จะรู้สึกเกิดแรงบันดาลใจ ไปพร้อมกับจิตอันสงบอย่างประหลาด หลังจากดูงานของมาร์กริตจบ ก็เกิดอาการตื้นตันและเหน็ดเหนื่อยเปลี้ยสมองไม่อาจรับอะไรได้อีก เกินกว่าจะไปดูงานศิลปะในส่วนอื่นของมิวเซี่ยม จึงเป็นอันพ่ายแพ้ต่อสังขาร และซูฮกต่อมาร์กริตที่กระทำเด็กตาดำๆอย่างเราได้ถึงเพียงนี้

ภาพประกอบโพสต์นี้คือหนึ่งในภาพที่เราชอบมากที่สุดของเขา ทั้ง 2 ภาพมีชื่อเหมือนกันคือ The Listening Room ภาพที่เราชอบและได้เห็นในมิวเซี่ยมคือภาพบน วาดในปี 1952 อีกภาพเราเพิ่งมาค้นพบตอนเซิร์ชเน็ต ตอนแรกงงว่า เอ๊ะนี่มันไม่ใช่แอปเปิ้่ล ไม่ใช่ห้องที่เราชอบนี่หว่า นี่มันภาพเลียนแบบ! แต่จริงๆแล้วคงไม่ใช่ เข้าใจว่าเป็นภาพของมาร์กริตทั้งคู่ แต่อีกภาพวาดในปี 1958 ห่างมา 6 ปี ชื่อภาพก็เหมือนกัน องค์ประกอบก็เหมือนกัน (แต่เรา"รู้สึก"กับภาพบนมากกว่า) เราไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามาร์กริตพยายามจะทำอะไร ถึงได้วาดอีกภาพเหมือนกันๆ แถมใช้ชื่อเดียวกันอีก

Monday, January 01, 2007

Happy New Year 2007!










สุขสันต์วันปีใหม่ครับทุกคน ขอให้มีความสุขมากๆสุขภาพแข็งแรงกันตลอดทั้งปีนะครับ!

1 ปีก่อนพอดิบพอดี ตอนนั้นกำลังปั่นใบสมัคร เขียน essays ส่ง CalArts สุดริด ยื่นเอกสารชี้ชะตาที่ไปรษณีย์วันที่ 30 ธันวา เพราะต้องเดินทางไปฉลองปีใหม่ 2006 กับครอบครัวที่เชียงราย ผ่านไป 1 ปี ตอนนี้ได้มาเรียนที่ CalArts สมใจอยาก รู้สึกเหมือนผ่านไปแล้วนานมาก ทั้งๆที่เพิ่ง 1 ปีเอง มองย้อนกลับไป อดยิ้มไม่ได้ที่เห็นว่า การตัดสินใจลงมืออะไรซักอย่างในตอนนั้น ได้ช่วยให้เราเดินทางมาตรงนี้ในปัจจุบัน

ปีนี้ฉลองปีใหม่ที่ LA เดินทางกับเพื่อนๆเด็กไทยไปแถวๆ Universal Studio ไม่ได้เข้าไปหรอก เพราะประหยัดตังค์ ก็เฮ้วๆอยู่ตรงถนนร้านค้าด้านนอก นึกว่าจะเคาน์ดาวน์กันที่นี่ แต่เพื่อนบอกหิว แล้วร้านแถวนี้ก็คนเยอะเหลือเกิน เลยเดินทางกันต่อไปยัง Thai Town แล้วก็นับถอยหลังกันหน้าบาร์ไทยๆนี่แหละ ไม่ได้เข้าไปเช่นเคย เพราะประหยัดตังค์ค่าเข้า อาศัยลูกแจมเฮฮาไปด้วย แต่ได้ยิ้มๆขำๆกับเพื่อนข้างนอกร้าน กับอากาศเย็นๆ ก็พอแล้ว เห็นพลุตรงโน้นตรงนี้ประปรายอยู่ไกลๆ ที่เมืองไทยป่านนี้คงนอนหลับกันไปหมดแล้วล่ะมั้ง