Sunday, September 03, 2006

BIG BLUE BUS

BIG BLUE BUS สาย 3 เป็นรถเมล์ สายที่ผมใช้เดินทางจากบ้านนักเขียน ไปหาที่เรียนและที่ทำงานของนักเขียนที่ UCLA เนื่องจากไม่มีรถขับ และไม่มีปัญญาเรียก taxi รถเมล์จึงเป็นเพื่อนที่ดีของเรา (แม้นักเขียนจะบอกว่า อาศัยเดินทางด้วยรถเมล์ที่นี่ ไม่คล่องตัวเท่าเมืองไทย เพราะมีน้อย และไม่เยอะสาย หรือไม่มีทางเลือกมากนัก)

รถเมล์ของที่นี่ ไม่เหมือนเมืองไทย ตรงที่ไม่มีกระเป๋ามาคอยเก็บเงิน แต่ต้องหยอดเหรียญด้วยตัวเองด้านหน้า ราคาก็ 70 เซ็นต์ ต้องหยอดพอดีนะ เพราะไม่มีทอน คุ้นๆจำได้ว่าเมืองไทยเคยพยายามทำแบบนี้ สมัยก่อนที่เป็นรถเมล์สีแดง มีทางเข้าทางออกเป็นระเบียบ มีกล่องหยอดเงินเรียบร้อย แล้วตอนนี้รถเมล์พวกนี้มันหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ สงสัยคนไทยคิดถึงเสียงกระเป๋าก๊อปแก๊ปๆ จนขาดไม่ได้ ขาดใจ

รถเมล์ที่นี่ มีหลายสี หลายเบอร์ รถแดงเอาไว้วิ่งข้ามเมือง แต่ BIG BLUE BUS สีฟ้า เอาไว้วิ่งในเมือง ด้านหน้ารถมีตัวหนังสือสีแดงวิ่งๆ เอาไว้รายงานว่าป้ายหน้าจอดที่ไหน แล้วก็มีเวลาบอกด้วย พอมีคนกดอ็อด ป้ายวิ่งๆก็จะขึ้นว่า "Stop Requested" แค่นั้นยังไม่พอ สำหรับคนอ่านหนังสือไม่ออก หรือไม่อยากอ่าน มันมีเสียงผู้หญิงคอยรายงานตลอดด้วย คล้ายๆกับรถไฟฟ้าบ้านเรา ...อ้อ และที่นี่เขาไม่มีคำโปรย ว่าให้เอื้อเฟื้อที่นั่งให้สตรีนะ เขามีแค่ให้เด็ก กับคนแก่ คนพิการ... สตรีทั้งหลาย เสียใจด้วย

ปุ่มอ็อดที่นี่ประหลาดมาก เพราะมันไม่มีปุ่มอ็อด แต่มันใช้การกระชากเส้นเคเบิลสีเหลืองแทนโดยสายเคเบิลเหลืองนี้ มันจะวิ่งขึงไปทั่วรถเหมือนสายสิญจ์ เวลาจะลงรถ ก็กระตุกเส้นนี้ แล้วกลไกมันจะไปโดนปุ่มให้เกิดเป็นเสียง ไม่ใช่เสียงกริ่ง แต่เป็นเสียง "Stop Requested"

รถเมล์มาเป็นเวลา โดยเขามีตารางเอาไว้เลยว่า รถเมล์สายนี้ จะมาถึงป้ายนี้เวลากี่โมง วันก่อนผมลองดู มันก็มาตรงเวลาจริงๆ คือผมมารอตั้งแต่ 10.15 แต่ตารางว่ารถจะมาตอน 10.45 ผมก็ โอค รอครึ่งชั่วโมง ก็นั่งอ่านหนังสือไป ครึ่งชั่วโมงที่อ่านหนังสือ ไม่มีรถมาซักคัน แต่พอ 10.48 รถก็มา เลทไป 3 นาที แต่มันก็มาใกล้เคียงตามเวลาที่ตารางระบุไว้มาก เรียกว่า มาช้า ยังดีกว่าไม่มาเลย(ตามตาราง) แต่นักเขียนบอกว่าอย่าไปเชื่อมาก เพราะบางทีรถมันติด รถก็ไม่มา

ที่เก๋อีก 2 อย่างคือ ตรงทางขึ้น มันมีแมกเคนิก สามารถพลิกตัว ยื่นออกไปรับรถเข็นนอกรถได้ด้วย ผมเห็นครั้งแรกตกใจในความเอิกเกริก คาดว่าเป็นสิ่งจำเป็น เพราะผมเห็นคนในอเมริกานั่งรถเข็นกันเยอะเหลือเกิน แล้วมันไม่ใช่รถเข็นธรรมดาแบบมีคนเข็นให้นะ มันเป็นรถเข็นบังคับ แบบคนนั่งขับได้เอง ไฮโซจริงๆ ...ส่วนที่เก๋อีกอย่างคือ ด้านหน้ารถเมล์ จะมีโครงเหล็กที่สามารถดึงลงมา เพื่อเอาจักรยานของผู้โดยสารไปเกี่ยวเอาไว้ได้ เพราะฉะนั้น ถ้าใครมีจักรยานจะขึ้นรถเมล์ ก็ไม่ต้องแบกขึ้นรถ แต่เอาไปไว้เป็นกันชนหน้ารถแทน นักเขียนบอกว่า เพื่อนคนนึง เคยเอาจักรยานไปยึดไว้อย่างที่บอก แต่ดันยึดไม่แน่ เป็นอันว่าจักรยานหล่นโครมให้รถทับ กลายเป็นภาพประทับใจอีกชุดหนึ่ง

อันนี้ขำมาก ระหว่างผมยืนรอรถเมล์ ยายเจ้ผิวดำขับรถบัสแดง มาจอดตรงหน้าผม ตะโกนถามว่า จะไปที่???ไปยังไง ผมก็บอกว่า I don't know! เจ้แกเลยทำหน้ามุ้ย ขับบึ่งหนีไปเลย 555 แสดงว่าผมเนียนใช้ได้ อยู่มาไม่กี่วัน มีคนมาถามทาง

ช้อปปิ้งร้านขายของชำ

วันนี้จะมาเล่าเรื่องการช้อปที่ซุปเปอร์มาเก็ตตามสัญญา ร้านนี้ชื่อร้านว่า Whole Foods จากชื่อ เดาว่าน่าจะหมายถึงเน้นอาหารสุขภาพหรือเปล่า ประเภทไม่ผ่านการแปรสภาพมาก่อน คือขายกันทั้งดุ้น ขายกันสดๆ แต่ของขายในร้านก็เห็นปกติ กระป๋อง ขวดอะไร ก็แปรรูปทั้งนั้น สงสัยผมจะเข้าใจผิด หรือว่ามันหมายถึงขายแม่งทุกอย่าง ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน



ด้านหน้าร้าน ดูอบอุ่นน่าเข้าทีเดียว

โดยรวมมันก็เป็นซุปเปอร์มาเก็ตทั่วๆไป เหมือนบ้านเรานี่แหละ แต่แปลกก็แค่ตรงที่ สินค้าในนี้ผมไม่รู้จักซักกะอย่าง ปกติซื้อของที่เมืองไทย เราก็พุ่งไปซื้ออะไรที่เราซื้อเป็นประจำได้โดยง่าย มีย่อห้อที่เราคุ้นเคยเป็นอย่างดีอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้มันละลานตามาก จะซื้ออะไรพื้นๆ อย่างนม อย่างไข่ ยังเล่นเอาต้องอ่านป้ายสุดริด พวกฝรั่งมันคงงงว่า กะเหรี่ยงที่ไหนมันยืนจ้องแผงไข่อยู่เป็นนมนาน ไม่ทำอะไรอะไรซะที หรือไอ้นี่มันหิวไม่มีเงินซื้อ เลยพยายามจะกินด้วยสายตาหรือเปล่า

เป้าหมายของผมวันนี้คืออาหารเพื่อสุขภาพ เน้นโปรตีน เอาไว้เก็บแทะกินในตู้เย็นได้ไปอีกซักสองสามวัน สรุปสินค้าได้คือ นม ไข่ อกไก่ และทูน่ากระป๋อง ทั้ง 4 อย่าง มีให้เลือกหลายแบบ หลายราคามาก อย่างนมเนี่ย ก็หลายยี่ห้อ และแต่ละยี่ห้อ ก็มี ไขมันน้อย พร่องไขมัน ไขมันต่ำ ไม่มีไขมัน แบบย่อยง่าย แบบไม่มีแลกโตส อะไรนักหนาก็ไม่รู้ หรืออย่างไข่ ก็มีหลายสำนักมาก สำนักนี้ เลี้ยงไก่แบบไม่มีกรง สำนักนี้ ไก่ไม่กินอาหารเคมี กินแต่อาหารสด ไก่สำนักนี้มีความสุขกว่าไก่อีกสำนักนึง อะไรก็ไม่รู้ ก็ไม่เข้าใจว่า แบบไหนดี เอ๊ะ หรือจะตัดสินจะราคา จะเลือกถูกสุด คุณภาพมันจะดีหรือเปล่าหว่า หรือเลือกแพงหน่อย แต่วันหลังต้องอดอาหารเพราะไม่มีจะแดก ราคาที่เห็นโดยมากก็แพงกว่าเมืองไทยซัก 4-5 เท่าได้ ไหนจะมีการบวกภาษีเพิ่มอีก สุดท้ายก็เลยประนีประนอม เอาแบบเกือบๆถูกสุดแล้วกัน คุณภาพน่าจะโอเค ราคาก็พอสู้


สินค้า 4 ชนิดที่ผมไปอุดหนุน

แบกตะกร้าไปที่เคาท์เตอร์จ่ายเงิน ราคาของ 4 อย่างรวมกันได้ 14.22 ดอลล่าร์ เนื่องจากผมมีเหรียญเยอะ ก็เลยทำแบบเมืองไทย คิดว่าฉลาดสุดๆแล้ว คือให้เหรียญไปพอดี 22 เซนต์ กับแบงค์ 20 ดอลล่าร์ อีกใบนึง ทุลักทุเลกับการเลือกเหรีญอยู่นานมาก จนชายแก่ที่เขาต่อคิวคงหงุดหงิด

พนักงานสาวก็คีย์คอมพ์ เอาของใส่ถุง (ที่นี่ไม่มีถุงกระดาษ เขาแจ้งไว้ว่าใช้เฉพาะถุงพลาสติกรีไซเคิลเท่านั้น) แล้วก็ทอนเงินผมมา ทันทีที่ยื่นมา ก็ตกใจแทบสิ้นสติ เพราะเขาให้เหรียญผมกลับมามากมายเป็นสองเท่าจากที่ผมให้เขาเลยทีเดียว แถมด้วยเสียหัวเราะ 5555 5555 จากพนักงานสาวคนนั้นด้วย เธอพูดเป็นทำนองว่า "แกคงคิดว่าจะกำจัดเหรียญพวกนั้นได้ล่ะสิ ไม่มีทางซะหรอก 5555 5555!!!"

ผมก็ยิ้มแหยๆ พ้ายแพ้ เดินออกมาก็งงๆว่า มันอะไรกันนี่ เราทำอะไรผิดพลาดหรือเปล่า มาลองดูใบเสร็จ นึกคำนวณดู เลยได้รู้หว่า นี่เราเสร่อเองนี่หว่า


ใบเสร็จ หลักฐานยืนยัน

คือเศษ 22 เซนต์
1. ผมให้เหรียญเพนนี สีทองแดง 2 เหรียญ มีค่า 2 เซนต์ ข้อนี้ถูก
2. แทนที่ผมจะให้เหรียญ 10 เซนต์อีก 2 เหรียญ ผมดันไปให้เหรียญ 5 เซนต์เขา 2 เหรียญแทน ข้อนี้ผิด
สรุปคือ ผมให้เขาไป 12 เซนต์ว่างั้นเถอะ นั่นหมายความว่า แทนที่ผมจะได้เงินทอนเป็นเงิน 6 ดอลล่าร์ถ้วนๆ ผมก็เลยได้กลับมาเป็นเงิน 5 ดอลล่าร์ กับอีก 90 เซนต์แทน นั่นหมายถึง เหรียญที่เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ


เหรียญ 25 เซนต์ 10 เซนต์ 5 เซนต์ และ 1 เซนต์ ตามลำดับ


พลังทวีอันเพิ่มพูนของเหรียญ บ่งบอกว่ามีแนวโน้มจะรวยในเร็ววัน

ยัยพนักงานก็คงงงกับกะเหรี่ยงคนนี้ เสียเวลาชาวบ้านชาวช่อง แล้วยังทำอะไรไม่ make sense อีก นี่ถ้ามีใครที่เห็นผมเลือกไข่ตอนแรกมาเห็นเหตุการณ์ครั้งนี้ คงสมเพชผมเป็นสองเท่าเลยทีเดียว

UCLA มันใหญ่โต

ให้ถ่ายมาทั้งมหาลัยคงไม่ไหว นี่เลยถ่ายมาให้ดูได้แค่บางส่วนเท่านั้น พอเป็นพิธี












รูปปั้นหมี ประจำมหาวิทยาลัย


เขาบอกให้ลูบอุ้งตีนหมีแล้วจะดี ก็เลยลูบซะ

Neighborhood ของบ้านนักเขียน



















กิจกรรมจิปาถะ

WED 30 AUG 2006

ผมนอนไม่ค่อยหลับ อาจเพราะนอนมาเยอะแล้วบนเครื่องบิน ประมาณ หกโมงเช้า ก็เลยออกไปเดินเล่น นักเขียนให้กุญแจเรียบร้อยแล้ว เดินไปอีกทางจากเมื่อคืน อากาศเย็นสบายดีมาก บ้านเมือง สวน ถนน ก็เรียบร้อยสวยงามน่ารัก สมเป็น nice neighborhood อย่างที่นักเขียนว่า ผมเดินไปไกลเหมือนกัน แล้วก็เดินกลับอีกฝากถนน ถ่ายรูปไปเรื่อย แล้วก็ทักทายคนที่เดินผ่าน สังเกตเห็นว่ามีคนจูงหมามาเดินมากมาย ซึ่งเป็นภาพที่ไม่ได้คิดไว้ นึกว่าจะมีแต่คนอังกฤษที่ทำแบบนี้ซะอีก

กลับมาล้างหน้าล้างตา อาบน้ำอาบท่าซักพัก นักเขียนก็พาออกไปเที่ยวเมือง

นั่งรถเมล์ไปกินอาหารเช้าย่าน UCLA town พยายามหาอะไรถูกๆ ลงเอยที่ชุดอาหารเช้าประมาณ 4 เหรียญ มีไส้กรอก ขนมปัง แล้วก็ไข่กวน แล้วก็กลีบส้มบางๆ ก็อร่อยดี มองวิวเห็นฝรั่งเด็กนักศึกษา แล้วก็เด็กเอเชียหลายคน โดยเฉลี่ยทุกคนดูดีหมด เห็นแล้วก็รู้สึกดี


อาหารอเมริกันมื้อแรก

จากนั้นก็ไปเดินทัวร์มหาลัย UCLA มันใหญ่มากๆ แล้วก็จัดแลนด์สเคปอะไรได้สวยงาม เข้าห้องสมุดไปขี้หน่อย ก็เลยได้เห็นว่าห้องน้ำนี่ช่องข้างประตูนี่กว้างจริงๆอย่างที่พี่บิ๊ก เคยบอก พื้นประตูห้องน้ำก็ขึ้นมาซะสูง อีกอย่างคือ ห้องน้ำเงียบมาก จะขี้จะตดนี่เสียงดังเป็นเก้าเท่าเลยทีเดียว


รูโหว่ระหว่างประตูขนาดครึ่งนิ้ว พบได้ทั่วไปตามห้องน้ำ

ประตูอยู่ห่างจากพื้นร่วมฟุต ให้ความรู้สึกโล่งสบาย

นักเขียนพาไปดูรูปปั้นหมีประจำมหาลัย เขาบอกว่าถ้าลูบตรงเท้าหลังมัน จะโชคดี ไปเดินในร้านขายของ และที่เด็ดคือ โรงยิมมหาลัย โอ้ มันใหญ่มากๆๆๆๆ ใหญ่ไฮโซอลังการกว่าที่คิด มันคือโรงงานออกกำลังกายดีๆนี่เอง มันเป็นที่รวมเอากิจกรรมทุกอย่างเข้าไว้ด้วยกัน เป็นเมืองออกกำลังกายดีๆนี่เอง

จากนั้นนักเขียนก็พาขึ้นไปยังห้องทำงาน ห้องทำ reserch ของเขาบนบนดาดฟ้า อาคารนี้ดู nerd สุดๆ วิชาการมากๆ แต่ไม่วายที่บริเวณทำงานนักเขียน ก็ยังเต็มไปด้วยหนังสือนิยายและภาพศิลปะติดเต็มไปหมด มันคือความขัดแย้งที่ลงตัวอย่างหนึ่ง เสมือนตัวนักเขียนเองไม่มีผิด



จากนั้นพวกเราก็พากันไปกินข้าวร้านอาหารญี่ปุ่น ซึ่งมีน้องโอ๋ผู้หญิงทำงานอยู่ น้องโอ๋เป็นรุ่นน้องที่เตรียม บอกว่าคุ้นหน้าผม น้องโอ๋ก็น่ารักอัธยาศัยดีมาก อาหารก็เยอะมาก กินจนแน่นท้องไปหมด แถมกินก็ไม่หมด แล้วก็พากันไปดูหนังเรื่อง Little Miss Sunshine ผมไม่วายต้องขี้ก่อนดู เพราะปวดท้อง มันแน่นท้องจริงๆ เรียกว่าวันนี้ขี้เบิ้ล โรงหนังโรงนี้ ไกด์ทัวร์จำเป็นบอกว่าได้รางวัลตกแต่งยอดเยี่ยม ซึ่งความเห็นผม มันตกแต่งได้เอิกเกริกมาก โดยเฉพาะม่านหน้าโรง สีสันแดงแรดจนนึกว่าเปิดม่านมาจะเป็นโรงงิ้ว



แล้วก็ไปยังร้านวิดิโอหนังอาร์ต ซึ่งก็มีอาร์ตและหนังประหลาดๆได้ใจจริงๆ แต่ค่าเช่าแพงมาก เรื่องละกว่า 5 เหรียญ จากนั้นก็ไปเดินที่ Third Street prominade กันต่อ เป็นย่านช้อปปิ้งหรู ปิดถนนสวยงามดี รู้สึกว่ามีแต่คนหรูๆดูดี ของก็แพง ชอบเดินนะ แต่คงไม่มีเงินไปซื้ออะไร อดคิดไมได้ว่า บ้านเมืองที่นี้เหมือนไม่ใช่ของจริง มันเหมือนเมืองใน Truman show ที่เป็นเมืองปลอมๆและคนเดินถนนก็เป็นนักแสดงมาแสดงให้เราดูเท่านั้นเอง ทุกอย่างมันดูสวยสะอาดอย่างกับฉาก นี่ขนาดที่อเมริกานะ ยังดูเกินจริงขนาดนี้ ถ้าเป็นยุโรปจะขนาดไหน แต่พอคิดดูอีกที ยุโรปมันดูเกินจริงแบบสวยงามอลังการจนบ้าไปเลย แต่ที่อเมริกา มันดูสวยแบบหลอกๆมากกว่า แต่ก็ชอบนะ มันก็แสดงถึงความเป็นอเมริกันดี

จากนั้นก็แวะไปที่ Beach ซึ่งมีสวนสนุกอยู่ด้วย และหาดที่ไกลสุดลูกหูลูกตา น้ำแรงมาก พยายามไปเล่นไอ้โหนห่วงๆที่เห็นหนุ่มล่ำๆบนชายหาดเขาเล่นกัน โหนตัวไปมาราวกับทาร์ซาน ไอ้เรา โหนไปได้สองอัน ก็ร่วง เพราะไม่มีแรง เผอิญไม่ล่ำเหมือนคนอื่นเขา ต้องเจียมตัว


ห่วงที่พยายามฝืนสังขารไปโหนเล่น

ขึ้นรถเมล์ ง่วงมากๆ เลยหลับไป น้ำลายหยดอีกต่างหาก ภาณุปลุกให้ลง แล้วพวกเราก็เดินไปที่บ้านของพี่นก เป็น nice neighborhood เหมือนกัน

ที่นี่เด็กไทยเขารวมตัวกัน ช่วยเหลือกันเป็นอย่างดี พ่อนักเขียนเรารู้จักคนไทยเยอะ ผมก็เลยได้ผลบุญไปด้วย วันนี้พี่นก หนึ่งในเด็กไทยที่นี่ นัดน้องๆมากินข้าวด้วยกัน

ตัวอย่างอาหาร เสียดายไม่มีรูปปลาสุดอร่อย

ห้องพี่นกสีขาว สวยงามน่ารักสุดๆ อย่างกับหลุดมาจากแคตตาลอก ดูเหมือนห้องในญี่ปุ่นเก๋ๆ พี่นกทำกับข้าวให้พวกเรากิน อร่อยระดับมืออาชีพ โดยเฉพาะปลา บรรยากาศก็อบอุ่นราวกับเป็นครอบครัว มีพี่นก พี่หนึ่ง น้องโอ๋ น้องแวนด้า น้องอิง นักเขียน และผม (เสียดาย ไม่ได้ถ่ายรูปไว้) น้องอิงเอาหนัง animation สอนภาษา ที่เธอทำเอง "ฉัน กับ ซิ้ม" มาให้ดูด้วย น่ารักมาก เก่ง กินเสร็จผมกับนักเขียนก็ช่วยกันล้างจาน นั่งคุยเล่นกันต่ออีกนิดหน่อย น้องอิงก็ขับรถพามาส่งบ้าน ถึงบ้านก็หมดแรง วันนี้มันลองเดย์ เก็บทุกเม็ดจริงๆ

My First Night

TUE 29 AUG 2006 (ต่อ)


เดินออกจากเครื่องบิน อากาศก็เย็นๆนิดหน่อย ผมก็เลยหยิบแจ็คเก็ตมาใส่ ตอนนั้นมืดแล้ว 5 ทุ่มกว่าๆ เกือบๆจะเที่ยงคืน ผู้โดยสาร ผม และลูกเรือ(บิน) ทยอยกันขึ้นรถ พาไปยังอาคารสนามบิน เมื่อเห็นพื้น ก็อดอุทานไม่ได้ว่า นี่หรือ ที่เขาเรียกว่า อเมริกา! (ว่าเข้านั่น)

ความรู้สึกแรกที่ทำให้ตระหนักว่าอยู่อเมริกาแล้วก็คือ เข้าห้องน้ำแล้วเห็น maid เป็นผู้หญิงฝรั่งวัยกลางคน แทนที่จะเป็นผู้หญิงไทยภูธรแบบที่เคยเห็นบ่อยๆ ก็เลยว่า เออ ได้มาอยู่อเมริกาจริงๆแล้วนี่แหละ

จากนั้นก็ผ่านขั้นตอนทั่วไป ซึ่งก็ไม่มีปัญหาอะไร ดีใจที่ไม่ถูกค้น ส่งกระแสจิต "จงผ่านฉลุย จงผ่านฉลุย" ไม่รู้กลัวอะไรนักหนา อย่างกับค้ายางั้นแหละ แล้วก็ไปรอกระเป๋าอยู่นานมาก จนมีเจ้าหน้าที่หยิบ(จริงๆคือลากด้วยแรงสุดกำลัง)กระเป๋าผม ลงมาให้เด็กผู้หญิงไทยคนนึงดู เขาคงคิดว่าเป็นกระเป๋าเขา แต่ไม่ใช่ ผมก็วิ่งล่าเข้าไปบอกว่า my bag my bag ก็เลยได้มา อีกซักพัก อีกใบก็ตามมา สรุปไม่มีปัญหาอะไร ทุกอย่างเรียบร้อย

เดินลากกระเป๋าไป ใจก็ลุ้นว่า นักเขียนชิงซีไรต์จะยังรอหรือเปล่า หรือหนีกลับไปแล้ว เพราะถ้ารอ ก็ต้องรอนานทีเดียว ออกไปก็เจอนักเขียนก็โล่งใจสุดๆ เขามากับพี่ผู้ชายหน้าตายิ้มแย้มอีกคนหนึ่ง ภายหลังได้รู้ว่าชื่อพี่โอ๋ รู้สึก happy ที่ได้เจอทั้งสองคน ทั้งคู่ช่วยเหลือผมเป็นอย่างดีมาก แล้วก็รีบพาเดินไปที่รถ ผมบอกว่าต้องถ่ายรูปกันก่อน จะเอามาทำ blog พ่อนักเขียนบอกว่า บ้าเห่อ เสร่อ สารพัด สารพัน ส่วนผมก็ไม่สนใจ จับถ่ายรูปทั้งสองคนซะเลย



พี่โอ๋เอารถเบนซ์มา คันใหญ่ ก็เลยขนกระเป๋าผมทั้งสองใบในหลังรถไหว ถามว่ารอนานมั้ย เขาว่าก็มาทีนึงแล้ว แต่ขับกลับไปไหมเพราะเขาแจ้งไว้ว่าจะเลท ต้องกลับไปทำงานก่อน เห็นว่าภาณุ นักเขียนของเรา ต้องช่วยงานพี่โอ๋นิดหน่อย ขับไปตามทางก็คุยกันไปเรื่อยจิปาถะ พี่โอ๋ nice มาก บรรยากาศยามค่ำคืนของ LA ผมว่าก็คล้ายๆกับยามค่ำคืนของต่างประเทศแบบที่เคยเห็นมานั่นแหละ ไม่ได้ต่างจากที่อื่นมาก เดาว่าตอนกลางวันคงเห็นความต่างมากขึ้น ความรู้สึกตอนนี้ก็ตื่นเต้นนิดหน่อย

ถึงที่พัก พี่โอ๋ช่วยขนของลง แต่ต้องรีบไปทำธุระต่อ แค่นี้ก็ขอบคุณมากแล้ว ขอบอกขอบใจพี่โอ๋เสร็จ ผมกับภาณุก็ช่วยกันลากกระเป๋าหนักอึ้งขึ้นห้อง ภาณุขยันขันแข็งในการยกกระเป๋าผมมาก ประทับใจจริงๆ

บ้านภาณุเราว่ามันใหญ่โตหรูหราไฮโซกว่าที่คิดมาก มันไม่ใช่ห้องเล็กๆมอซออะไรเลย มันคือบ้านอพาร์ตเมนต์สวยๆดีๆนี่เอง แล้วก็โอ่โถงสุขสบายดีด้วย เห็นแล้วก็อดที่จะอุทานคำว่าไฮโซๆๆตลอดเวลาไม่ได้ แถมมีห้องนอนเหลือให้ผมนอนได้พอดีอีกต่างหาก ลงตัวจริงๆ นักเขียนว่า แถวนี้มันก็เห็นห้องลักษณะแบบนี้ทั้งนั้นแหละ เพราะเป็นย่านที่ดีหน่อย






ดึกๆนักเขียนพาผมไปเดินดูละแวกบ้าน เป็นละแวกที่สวยงามเป็นระเบียบ น่าอยู่ดี แวะซื้อของกินที่เซเว่น แล้วก็ตระหนักว่าของทุกอย่างแพงมากๆ นักเขียนว่าค่าครองชีพสูงกว่าเมืองไทยประมาณ 4 เท่า เล่นเอาเหงื่อตก ว่าต้องรบกวนทางบ้านเยอะแน่ๆ

ได้นม ได้ชิบอะฮอย แล้วก็มาม่ามากินยามดึกแก้หิว ล้มตัวลงนอนนิดหน่อย แล้วก็ตื่นมาล้างหน้าแปรงฟัน กว่าจะได้นอนอีกทีก็ตีสามตีสี่ กับคืนแรกในการมาเดินทางมาเรียนต่อที่อเมริกา

เดินทางสู่สหรัฐอเมริกา

TUE 29 Aug 2006

ผมและคุณพ่อคุณแม่ ช่วยแบกกระเป๋าอันหนักหน่วงขึ้นรถ เช็คความเรียบร้อยในห้อง และกระเป๋า ไหว้พระ ไหว้เจ้าที่ ออกเดินทางมาสนามบินดอนเมือง ไปถึงตั้ง 15.00 ก็เลยนั่งรอกันจนกว่าจะ 16.00 อันเป็นเวลานัด จะได้โหลดกระเป๋า ที่ตึก international อาคาร 2 ช่อง 14 ระหว่างรอ คุณแม่ก็ถ่ายรูปเก็บเป็นที่ระลึก ด้วยกล้องฟิล์ม ส่วนผม ก็ถ่ายดิจิตอลเก็บไว้ดูเองด้วย

ถึง 16.00 เอากระเป๋าไปแสกน เสียวเหมือนกันว่าจะโดนค้น แต่ก็ไม่โดน มีคนขู่ไว้เยอะ แต่พอชั่งน้ำหนัก ปรากฏว่ามันเกิน เพราะแต่ละกระเป๋าเขาไม่ให้เกิน 32 โล ผมมี 2 กระเป๋า ล่อเข้าไป 60 กว่าโล ราวกับย้ายบ้าน ไม่ต้องซื้ออะไรกันอีก 3 ปีกันเลยทีเดียว ก็เลยต้องมีการเปิดกระเป๋า จัดกันใหม่ เรียกว่าแก้ผ้ากันต่อหน้าประชาชี สุดท้ายแก้ปัญหาด้วยด้วยการย้ายเอาหนังสือมาใส่ในเป้สะพายขึ้นเครื่องแทน โชคดีที่ถ่ายโอนสำเร็จ น้ำหนักผ่านเกณฑ์ นึกว่าจะเกิน ไม่รอด ต้องให้ขนกลับบ้านกันซะแล้ว

กระเป๋าเรียบร้อย ก็ไปถ่ายรูปต่อ นั่งรอเวลา นั่งคุยกันนาน กับคุณย่า คุณอาอีกสองคน เห็นคุณบอยด์โกสิยพงศ์ด้วย(ขึ้นเครื่องลำเดียวกัน ไม่รู้คุณบอยด์ไปทำอะไร แต่คงไม่ใช่เรียนต่อ)แล้วก็รอโก๋กับนุ้กมาส่งถึงสนามบิน

ด่าน immigration ก็ไม่มีอะไร ก็ผ่านไปด้วยดี เดินไปด้านใน duty free ก็โทรบอกพ่อกับแม่ว่าเรียบร้อยแล้ว เดินไปนั่ง รอขึ้นเครื่อง เจอกับซุ้มค้นเป้ หาของเหลว ตามตำนานที่ร่ำลือกัน

ผมไม่มีของเหลวอะไรอยู่แล้วนอกจากน้ำในร่างกาย ก็เลยผ่านฉลุย ถ่ายรูปเขาก็มาห้าม แต่ก็แอบถ่ายจนได้ แล้วผมก็ได้ประจันหน้ากับมัน!

ผ่าง!!!!

TG794 เครื่องบินที่จะพาผมไปอเมริกา

ขึ้นเครื่อง ผมนั่งอยู่แถวตรงกลาง แถวที่สองจากหลังสุด ด้านซ้ายเป็นผู้หญิงคนหนึ่งผิวคล้ำๆ ทางขวาเป็นเฮียคนนึง ผมไม่ได้คุยกับเฮีย แต่คุยกับเจ้ผิวคล้ำอยู่หลายครั้ง เวลาจะฉี่ก็ขอเจ้ ไม่กล้าขอเฮีย เพราะเฮียดูโหด

ภายในเครื่องบิน กับมุมมองที่จะเห็นไปอีกเกือบทั้งวัน

กว่าเครื่องจะขึ้นก็ล่อเข้าไป 21.10 แทนที่จะเป็น 19.10 เลทไปกว่า 2 ชั่วโมงเพราะกับตันแจ้งว่า In-flight entertainment มีปัญหา ฮาดีมั้ยล่ะ

ผมนั่งอยู่ข้างหน้าคนเสื้อเขียว

จอทีวีเป็นแบบติดกับผนักด้านหน้า ไม่ใช่จอใหญ่ดูรวมกัน ตอนแรกเครื่องผมดูไม่ได้ ผมก็คิด แม่งรอตั้งสองชั่วโมง ดันดูไม่ได้ มันน่านัก แจ้งแอร์สาว เขาเลยว่าต้อง reboot ใหม่ก่อน ในที่สุดก็ดูได้ ก็เลยได้ดู "เด็กโต๋" ใครถามว่าดูเด็กโต๋ที่ไหน จะบอกว่าดูเด็กต่อเหนือมหาสมุทรแปซิฟิก ช่วยให้หนังดูไฮโซขึ้น 5 เท่าตัว ผมว่าหนังมันง่ายๆดีนะ เล่นเอาน้ำตาไหลบนเครื่องบิน จากนั้นก็ได้ดูเรื่องอื่นนิดๆหน่อย เช่น high school musical ซึ่งคลิเช่มากๆ แล้วก็ดู Bambi, The Lion King บางฉาก ตอนแรกกะว่าจะดูหลายเรื่อง สุดท้ายก็ง่วงๆ เลยนอนซะยาว

จอมีเมนูให้เลือกหลายรายการ

Dek-Tow on a plane!

นอนยาวก็เลยกำจัดเวลาเหลือเฟือไปได้เยอะ นอกจากกินข้าวกินน้ำและดูทีวี อ่านหนังสือดาไลลามะนิดหน่อยแล้ว ผมก็นอนลูกเดียว สรุปการเดือนทางใช้เวลาประมาณ 15 ชั่วโมง 20 นาที ถ้ารวมกับที่รออีกสองชั่วโมงที่นั่งเฉยๆตอนแรก ก็ประมาณ 17 ชั่วโมงกว่าๆกับการอยู่บนเครื่องบิน

มองเห็นหรือเปล่าว่าเครื่องบินผมอยู่ตรงไหน?

บนจอเลือกดูแผนที่ และข้อมูลการบินได้ ที่เจ๋งคือมันมีรูปเครื่องบินเคลื่อนที่ด้วย ทำให้เรารู้ว่าตอนนี้เครื่องเราอยู่ตรงไหนแล้ว พอใกล้ๆ LA ก็เลยถ่ายรูปไว้ ใกล้ลงเราก็เตรียมกล้อง แม้เขาจะเตือนไม่ให้ใช้เครื่อง electronic ก็ตาม แต่เห็นผู้หญิงคนหนึ่งถ่ายรูป ผมก็เลยเอาบ้าง อาการบ้าถ่ายรูปมันเริ่มตั้งแต่ยังไม่ลงดิน

เครื่องจะลงจอดเรียบร้อยหรือไม่ เพื่อนผมจะมารอรับหรือเปล่า หรือเลทจนทนไม่ได้หนีกลับไปแล้ว อากาศจะเป็นอย่างไร ผมจะยังบ้าถ่ายรูปต่อไปหรือไม่ และอเมริกาจะเป็นอย่างไร โปรดติดตาม.... ผ่าง!!!!