Friday, November 24, 2006

Casino Royale กับภาษาอังกฤษวันละนิด



ดูหนังอาร์ตหนังทดลองที่โรงเรียนเยอะมากจนอ้วกไม่เป็นอ้วกแล้ว ก็เลยต้องผ่อนคลายพักสมองพักใจด้วยการไปดูหนังตลาดสนุกๆซะหน่อย เห็นเขาว่าเรื่องนี้ดีกัน ซึ่งก็ดีใช้ได้สมคำร่ำลือ แม้ว่ามันจะแอคชั่นน้อยกว่าที่คิด มันส์ไม่ถึงที่หวังไปซักหน่อย แต่คุณเครกก็เล่นได้อย่างมีเสน่ห์อย่างน่าแปลกใจ

เสียดายพลาดไปหลายมุก ไม่เข้าใจหลายประโยค ภาษาอังกฤษเรายังมีที่ว่างให้พัฒนาอีกเยอะ นี่ขนาดว่าอยู่ในชั้นเรียนนี่ฟังอาจารย์ ฟังเพื่อนพูดได้ไม่มีปัญหาอะไรแล้วนะ แต่เวลาดูหนังฟังเพลงทีไร นี่มันต้องมีอะไรให้ฟังไม่ออกไปซะทุกที ส่วนเรื่องพูดนี่ต้องทำใจ ลิ้นเลิ้นพันกันวุ่นวาย บางทีจะพูดอะไรก็ลิ้นจุกปาก คิดคำคิดประโยคไม่ออก แม้มันจะดีขึ้นกว่าตอนมาใหม่ๆก็ตาม ส่วน สำเนียงก็กะเหรี่ยงอยู่ทีเดียว แม้หลายคนจะบอกว่าดีแล้ว แต่ตัวเราย่อมรู้ตัวเราเองดี

เป็นตากล้องให้หนังของเพื่อน

เพื่อนชื่อ Andrew หรือพวกเราเรียนว่า Andy ไม่รู้คิดยังไง คิดดีหรือเปล่า มาวานให้ผมไปถ่ายหนังให้เขา ซึ่งก็แปลกดีเพราะเด็กส่วนมากอยากถ่ายเอง แต่นายคนนี้บอกว่า อยากทำหนังแบบเน้นกระบวนการจริง คือเขาจะกำกับ แล้วก็แบ่งหน้าที่ให้เพื่อนๆทุกคนแบบในกองถ่ายจริง แต่ที่แน่สุดๆคือเขามาวานผมให้เป็นตากล้อง ไม่รู้ทำไมเลือกผมทั้งๆที่ไอ้เราก็ไม่เคยถ่ายหนัง film มาก่อน ไม่รู้ว่าเรามาดดีหรืออย่างไรกันแน่

ใน school ของฟิล์มนั้น เราแบ่งออกเป็น 2 ภาคใหญ่คือ live action กับ animation ซึ่ง live action ก็แบ่งออกเป็นสองส่วนอีกคือ Film Directing กับ Film&Video โดยพวกแรกจะเน้นหนังเล่าเรื่องมากกว่า ส่วนพวกสองจะเน้นหนังทดลอง หนังสารคดีมากกว่า ผมอยู่ในกลุ่มพวกที่สอง

Andy ซึ่งอยู่ในพวกที่สอง มาแปลก เพราะเขากลับเลือกที่จะทำหนังสั้น 1 นาทีของตัวเองเป็นแบบเล่าเรื่องสุดๆ และถ่ายทำด้วย Storyboard ทุกอย่างชัดเจนตรงไปตรงมามาก ซึ่งจะว่าไป ผมดีใจที่มีซักคนนึงในคลาสเลือกที่จะทำหนังแบบนั้น เพราะมันเหมือนกองถ่ายหนังจริงๆดี

เราประชุมกันหลายครั้ง พูดคุยถึงแนวทางกันหลายอย่าง เพราะผมเองก็ต้องการความมั่นใจเหมือนกันว่าจะไม่ไปทำหนังชาวบ้านเขาเละเทะ เพราะครั้งนี้มันไม่ใช่หนังทดลอง มันเป็นหนังเล่าเรื่องถ่ายด้วยฟิล์มขาวดำ มันต้องจัดแสงเป๊ะๆ มุมกล้อง การเคลื่อนกล้อง โฟกัสอะไรต้องชัดเจน โชคดีผมมีเพื่อนอีกคนมาเป็นผู้ช่วยกล้องให้ (ดูสิ อลังการมั้ย) แล้วก็มีกลุ่มเพื่อนๆคนอื่นมาเป็นแรงงานช่วยจัดแสงตามคำสั่ง (อลังการจริงๆ) คือเป็น DP โดยสมบูรณ์ว่างั้นเหอะ


อเล็กซ์(พระเอก), แซนดร้า​(เมกอัพ),คริสตีน่า(นางเอกนอนบนเตียง)
และ ตากล้องก็อยู่หลังกล้องนั่นแหละ โผล่มาข้างหลังคือผู้กำกับ



มิเชล ผู้่ช่วยกล้อง กำลังวัดแสงหน้าพระเอกอยู่


แอนดี้ ผู้กำกับ ส่วนคนที่โผล่หัวมาอย่างลึกลับชื่อ พาโช มาช่วยจัดแสง

ตอนถ่ายก็ตื่นเต้นมาก เหมือนทำหนังจริง (ก็ทำหนังจริงๆ) ที่เหมือนกองถ่ายสุดๆก็คือการจัดแสงกันเป็นชั่วโมงเพื่อนถ่ายแค่ 5 วินาที อะไรงี้เป็นต้น แต่เพื่อนก็ทะเยอทะยานมาก หนัง 1 นาที แต่ก็มีเป็นสิบๆคัต แต่ละคัตต้องคำนวณเวลากันสุดฤทธิ์เพราะไม่มีช่องว่างให้ผิดพลาดมากนัก เพราะทั้งม้วนที่มีก็แค่ 3 นาทีเท่านั้น กว่าจะถ่ายกันเสร็จวัันแรกก็ล่อเข้าไปตีสอง (พวกเราถ่ายกันในสตูดิโอของโรงเรียน ซึ่งเขามีอุปกรณ์ไฟเฟยอะไรให้พร้อม)

เราถ่ายกันโดยใช้เวลาสองวัน (แต่ไม่ได้เต็มวัน) ถ้าทุกอย่างออกมาตามที่คิดไว้ ภาพน่าจะออกมาสวยดี ซึ่งมันก็น่าจะออกมาดีนะ เพราะมันไม่ใช่ผมคนเดียวที่วัดแสง แต่เพื่อนๆก็ช่วยกันเช็คช่วยกันดูกันผิดพลาดด้วย ไอ้เราก็ได้แต่หวังว่ามันจะออกมาดี จะออกมาดีกว่าหนังผมก็ได้ จะไม่ว่าซักคำ

ถ้าอยากดูภาพอื่นๆ ก็เข้าไปดูได้ ที่นี่ และ ที่นี่

ถ่ายหนัง film ครั้งแรกในชีิวิต กลางทะเลทราย

หนึ่งในวิชาที่ผมลงเรียนมีชื่อว่า "Film Production Workshop" เป็นวิชาภาคปฎิบัติต่อเนื่องกับอีกวิชาซึ่งเน้นไปทางทฤษฎีอันมีชื่อว่า "Cinematography" ส่วนว่าเรียนเกี่ยวกับอะไรก็คงพอจะเดากันได้ ถูกต้อง ก็เรียนเกี่ยวกับการถ่ายหนังด้วย film นั่นแหละ

ในชีวิตที่ผ่านมาทั้งหมด เคยแต่ถ่ายหนังของตัวเองด้วยวิดิโอเท่านั้น ไม่เคยแตะฟิล์มมาก่อนเลย เคยแต่อยู่ในกองถ่ายที่ถ่ายด้วยฟิล์ม แต่ไม่ได้รู้เรื่องทางเทคนิกอะไรไปกับเขาหรอก ครั้งนี้จึงเป็นครั้งแรกที่ได้สัมผัสกับกล้อง 16 มม. ที่ CalArts มีแค่ 16 มม. ให้เด็กๆได้ฝึกใช้ ไม่มี 35 มม. ไม่รู้ที่โรงเรียนหนังไหนมี 35 ให้เด็กเล่นกันบ้างหรือเปล่า

ถ่ายด้วยฟิล์มเป็นอะไรที่วุ่นวายเสียเหลือเกิน แม้ลุกที่ได้จะสวยงามน่าเย้ายวนใจ แต่กระบวนการมันช่างสลับซับซ้อนซ่อนเงื่อนเพื่อนงงเป็นอย่างมาก มันไม่ใช่ what you see is you get เอาเสียเลย แต่มันเป็น what you see is most likely to be what you're not gonna get คือมันต้องอาศัยทฤษฎีชั้นสูงเอาอย่างมาก กว่าจะได้ภาพอย่างที่ต้องการ จัดแสง วัดแสง คำนวณโน้นนี่กันวุ่นวายไปหมด

การบ้านในวิชานี้ก็คือ ให้นักเรียนถ่ายหนังสั้น 1 นาทีกันคนละเรื่อง โดยเขาให้ฟิล์มโกดักมาฟรี 1 ม้วน นั่นหมายถึงถ่ายได้ ประมาณ 3 นาทีเท่านั้น จากนั้นเขาก็จะเอาฟิล์มไปล้างให้แล้วก็จะมาลงมือตัดและทำเสียงกันในเทอมหน้า

มีอยู่แค่ 1 ม้วน เด็กก็เลยอยากจะบ้าตาย เพราะเป็นข้อจำกัดที่โหดอยู่เหมือนกัน พวกเราก็เลยต้องวางแผนกันค่อนข้างมาก แต่กระนั้นเด็กแต่ละคนก็ต่างกันไป บางคนก็มุ่งมั่นที่จะทำ storyboard จัดแสงทุกอย่างเป๊ะๆหมด แต่ผมกับอีกหลายคนเลือกที่จะทำสไตล์อิสระแบบไหลๆเรื่อยๆไปตามสถานการณ์มากกว่า แต่ก็เสี่ยงอยู่เหมือนกัน เพราะใช่ว่าจะเคยถ่ายด้วยฟิล์มมาก่อนเสียเมื่อไหร่



ผมเลือกที่จะไปถ่ายที่ทะเลทราย กะว่าหนังจะอ้างว้าง เหลืองทองอร่ามทีเดียว ผมไปกับ Brigid เพื่อนในชั้นเรียน กะว่าจะให้เป็นดาราไปด้วยเลย ที่สำคัญเธอมีรถ จะได้ขับรถพาผมพร้อมอุปกรณ์มากมายไปด้วย ไอ้อุปกรณ์นี่ก็เหมือนกัน ต้องจองต้องอะไรกันวุ่นวาย เพราะเด็กต้องกินต้องใช้กันทั้งนั้น

ตอนแรกว่าจะไปไกลๆที่สวยๆ สุดท้ายรถเพื่อนไม่ค่อยดี เลยเปลี่ยนใจไปที่ใกล้ๆกัน ไปถึงเจอหินก้อนบะเห้งเท่งเต็มไปหมด แถมนักท่องเที่ยวก็ยั่วเยี่ยะ ไม่ได้เป็นอย่างที่คิดแม้แต่น้อย โชคดีไม่ได้ฟิกซ์อะไรมากมายกับไอเดีย งงๆอยู่พักใหญ่ว่าจะถ่ายอะไร สุดท้ายก็ Improvise ไปเรื่อย เรียกว่าเน้นธรรมชาติ และสัญชาติญาณ ก็ดีเหมือนกัน อยากทำหนังแบบนี้มานานแล้ว

แต่บอกได้เลยว่า ถ่ายกันแบบเร่งแข่งกับแสงมาก เพราะที่นี่ตอนนี้ ประมาณ 5 โมงเย็นพระอาทิตย์ก็ตกแล้ว กว่าจะเริ่มถ่ายก็โน้นบ่ายสามบ่ายสี่ พอเร่งกันขนาดนี้ ทฤษฎีที่ร่ำที่เรียนมาก็ลืมมันเสียหมด วัดแสงผิดๆถูกๆ ลืมไขโบเล็กซ์(กล้อง)บ้าง ลืมเอาตาแนบ viewfinder กันแสงเข้าบ้าง ลืมโน้นลืมนี่เต็มไปหมด ไม่รู้ชะตากรรมจะเป็นเช่นใด แถมช่วงหลังๆก็ถ่ายตอนฟ้ามืดซะเสียอีก ฟิล์มก็นะ 50 ซึ่งหมายความว่าไม่ไวแสงเอาเสียเลย มันน่าลุ้นจริงๆว่าจะถ่ายอะไรติดออกมาบ้าง แต่ก็เอาน่า ผมทำหนังทดลอง

ถ่ายหนังฟิล์มเรื่องแรกในชีวิตสำเร็จไปได้ แม้จะไม่รู้ว่าจะออกมายังไงก็ตาม ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้ ทำให้รู้สึกทึ่งกับคนทำหนังที่ถ่ายด้วยฟิล์มขึ้นอีกหลายร้อยเท่า พวกนายแน่มากจริงๆ

เดี๋ยวเอาไว้คราวหน้า จะมาเล่าต่อ เรื่องไปช่วยถ่ายหนังสั้นเพื่อนอีกคนนึง ซึ่งเขามาวานให้ผมไปเป็น DP (Director of Photography) นั่นหมายความว่า ผมเป็นคนรับผิดชอบเรื่องการจัดแสง และมุมกล้องอะไรทั้งหมด แม้เป็นหนังสั้น 1 นาทีเหมือนกัน แต่คนนี้ถ่ายแบบขาวดำ และมีสตอรี่บอร์ดเนื่อเรื่องชัดเจน เป็นประสบการณ์ที่ต่างกับหนังสั้นของผมเองโดยสิ้นเชิง

Sunday, November 19, 2006

Babel



หนังเรื่องนี้ดูมันส์ดี หนักหน่วงตลอดเวลา รู้สึกเหมือนนั่งดูระเบิดเวลารอว่าเมื่อไหร่จะมีอะไร fuck up ขึ้นมาอีก แต่รู้สึกว่ามันดูจงใจจัดวางมากไปหน่อย แต่ถ้าเทียบกับ Clash ซึ่งมีประเด็นที่สอดคล้องกันอยู่ เรื่องนี้ดูแล้วน่าทึ่งกว่า แม้บทจะบีบบังคับ แต่การกำกับทำได้อย่างน่าประทับใจ

ผมดูหนังเรื่องนี้หลังจากเพิ่งไปถ่ายหนังสั้น 1 นาทีด้วย film เป็นครั้งแรกในชีวิตเสร็จ(ผ่านไปด้วยความทุลักทุเลพอขำๆ) ก็ยิ่งรู้สึกทึ่งกับฝีมือผู้กำกับ ประมาณว่า เราเห็นข้อที่เราไม่ชอบในหนังคุณนะ แต่เราจะกราบคุณ...

part ที่ผมชอบที่สุด คือ part ในประเทศญี่ปุ่น โดยเฉพาะตั้งแต่ช่วงแรกๆจนถึงช่วงกลางๆเรื่อง ไม่รู้เขากำกับได้ยังไงให้นักแสดงญี่ปุ่นแสดงกันได้เป็นอิสระธรรมชาติขนาดนั้น ทีมงานต้องมีล่าม ที่สื่อสารได้ดีมากอย่างไม่น่าเชื่อ สไตล์การเล่าเรื่องของส่วนนี้ก็เก๋ไก๋ แหวกตัวเป็นเอกเทศจากส่วนอื่นของหนัง ทึี่งๆ

Friday, November 17, 2006

Workingman's Death



ในวิชา Film Today ซึ่งสอนโดย Thom Andersen ผู้เป็น Mentor หรืออาจารย์ที่ปรึกษาของผม พวกเราจะนั่งดูหนังน่าสนใจกันในโรงหนังทุกๆอาทิตย์ โดยปกติ หนังจะฉายเป็นฟิล์ม 35 มม. แบบที่ฉายกันในโรงหนังทั่วไปนั่นแหละ ขนาดโรงหนังของ CalArts ก็ใหญ่ประมาณโรงลิโด้บ้านเราที่มีที่นั่งเยอะกว่าหน่อยได้ล่ะมั้ง

หนังที่ฉายก็มีประเภทอาร์ตพอประมาณ แบบที่หาดูได้ตามร้านแว่น ถึงอาร์ตมากๆ แบบที่ร้านแว่นยังไม่มี อย่างสองอาทิตย์ก่อน นั่งดูหนังที่มีแต่เฟรมกระพริบๆๆๆๆกระตุกๆๆๆไปเรื่อยๆร่วม 2 ชั่วโมง หรืออีกวันก็นั่งดูสารคดีสถาปัตยกรรมแบบไม่มีบรรยาย หรือไม่่มีเสียงอธิบายอะไรทังสิ้น เป็นภาพตัดนิ่งๆไปเรื่อยๆเกือบ 2 ชั่วโมงเป็นต้น

จริงๆในคลาสอื่นๆก็ได้ดูหนังทดลองแบบนี้ตลอดเวลา จนเปล่าประโยชน์ที่จะมานั่งทำลิสต์ของตัวเองแล้วว่า ดูอะไรบ้างในแต่ละวัน เพราะมันเยอะมากจนไม่สามารถตามเก็บประวัติได้จริงๆ โดยเฉพาะพวกหนังสั้น หนังเกือบยาว หนังอินสตอลเลชั่นทั้งหลายซึ่งมากมายก่ายกองไม่หวาดไหว จะมีก็แต่บางคลาสที่ฉายหนังยาว พวกนี้ก็จะตามเก็บได้ง่ายหน่อย

กลับมาที่ Film Today ต่อ ซึ่งเป็นคลาสที่ฉายหนังยาว ประเภท feature ส่วนจะเล่าเรื่อง หรือไม่เล่า จะทดลองแค่ไหน ก็แล้วแต่อาทิตย์ หนังที่เคยฉายในคลาสนี้ ที่ธรรมดาที่สุด น่าจะเป็น The Child กับ Three Times ล่ะมั้ง ซึ่งทั้งสองเรื่อง ร้านแว่นก็มีแล้ว เพียงแต่ต้องดูในรูปแบบ DVD

วันนี้ในคลาส ฉายหนังเรื่อง Workingman's Death ดูแล้วก็ไฟลุก ประทับใจ มันเป็นหนังสารคดีที่ถ่ายได้สวยงามมาก เพิ่งเคยเห็นหนังสารคดีที่ใช้ Stedicam ถ่ายก็คราวนี้แหละ ยิ่งได้ดูในโรงฉายด้วยฟิล์มยิ่งประทับใจเข้าไปใหญ่ คาดว่าหนังเรื่องนี้น่าติด top5 "หนังยาว" ที่ชอบมากที่สุดในปีนี้แน่นอน (ส่วนหนังสั้น และหนังเกือบยาวนั้น หมดปัญญาจัด เพราะเกินกำลังวังชาจริงๆ)

หาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับหนังได้ที่ http://www.workingmansdeath.com/

Sunday, November 12, 2006

อยากเป็นอย่างยิ่ง



อยากกินเป็นที่สุด โอ้ย พระพุทธเจ้าช่วย!!!!

Shortbus ...ไม่ short เหมือนชื่อ



ไปดู Shortbus มาแล้ว ก็โป๊เห็นหมดกันจะๆจังๆหลั่งกันเห็นๆ แต่โดยรวมกับไม่รู้สึกว่าหนังมันดิบหรือรุนแรงอย่างที่คิดไว้ จริงๆแล้วหนังออกแนวหวานใสอ่อนโยนเสียด้วยซ้ำแม้จะเห็นทุกรูขุมขนก็ตาม หลายฉากดูเกิ้มๆประดักประเดิดนิดหน่อย ถ้าให้เทีียบกับ Hedwig ก็ต้องบอกว่า ชอบ Hedwig กว่าเยอะ แต่เรื่องนี้ดูแล้วเพลิดเพลิน มีความสุขดี สหายที่เมืองไทยคงหมดสิทธิ์ดูล่ะมั้ง ไม่ว่าจะที่ลิโด้ หรือที่เฮาส์ เพราะมันเรต X แต่ถ้าได้ฉายจริงโดยไม่ตัด จะขอกราบคนที่เอาไปฉายจนได้

Thai in California






เมื่อวานเด็กไทยที่แอลเอจัดงานฉลองวันเกิดให้กับ เอม กับ ภาณุ นักเขียนของเรา ได้ไปสังสรรค์กับเด็กไทยในต่างแดนด้วยกันแล้วรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก เพราะเมื่อวานซืน ก็เพิ่งไปงานปาร์ตี้วันเกิดของเพื่อนชาวกรีก เกรเกอรี่ มาเหมือนกัน

งานหนุ่มกรีกนั้น มีอยู่ 5-6 คน ก็แต่งตัวแบบงาน toga นุ่งผ้าขาวแบบชาวกรีกโบราณมาร่วมงานกันด้วย เก๋ดี แต่ความรู้สึกมันไม่น่ารักเหมือนงานเลี้ยงคนไทยด้วยกัน งานปาร์ตี้ฝรั่งมันจะโวยวาย โม้ๆ เหล้าๆเละๆกว่า แต่งานไทยเมื่อวานออกแนวใสๆ น่ารักน่าชัง อบอุ่นกว่าเยอะ ไม่รู้เป็นเพราะว่าเด็กไทยที่อยู่ที่นี่ส่วนมากออกแนวเด็กดีกันหรือเปล่า มันเลยเป็นแบบนี้ เพราะมั่นใจว่า ปาร์ตี้ไทยก็น่าจะเละได้ไม่แพ้กัน

อยู่ CalArts ห่างไกลจากคนไทยมาก เพราะในมหาลัยมีคนไทยแบบจริงๆอยู่แค่คนเดียว มีอีกสองคนเป็นลูกครึ่ง พี่คนนึงที่ผมชอบไปคุยด้วย เพราะคุยด้วยแล้วรู้สึกสบายใจดี เป็นไทยฟิลิปินส์ แต่อยู่ที่นี่มาตั้งแต่ 10 ขวบ ตอนนี้พูดไทยไม่ค่อยได้แล้ว มีสำเนียงชัดเจน อีกคนเป็นลูกครึ่งไทยอเมริกัน พูดไทยไม่ได้

เป็นซะอย่างนี้ พอได้ไปเที่ยวแอลเอ ได้ไปแฮงค์เอ้าท์กับพวกเด็ก UCLA ซึ่งรู้สึกเหมือนจะมีคนไทยอยู่ล้านคน ก็เลยรู้สึกเหมือนได้อยู่บ้าน ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะ homesick เท่าไหร่ แต่พอได้มาคุยภาษาไทย ได้มาฟัง มาร้องเพลงไทย ได้สนุกเฮฮาแบบไทยๆ แชร์เรื่องเดียวกัน คุยกันก็เข้าใจ ก็รู้สึกอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก

นึกถึงเมืองไทย กรุงเทพฯ แล้วรู้สึกว่ามันช่างเป็นเมืองที่น่ารักจริงๆ มันมีทุกอย่าง ของก็ถูก อาหารก็อร่อย ความผสมผสานทุกๆอย่างเข้าด้วยกันเป็นอันเนื้ออันเดียว นับเป็นเสน่ห์ของคนไทยจริงๆ ที่อเมริกามันผสมก็จริง แต่มันไม่ได้กวนเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน มันแยกเป็นส่วนย่อยๆ คนไทยเราเนียนกว่าผสานทุกอย่างเข้าด้วยกันจนแยกไม่ออก ด้วยเหตุนี้แหละ อาหารเราถึงอร่อย เมืองเราถึงมีรสชาติ ว่าแล้วก็คิดถึงแหะ คิดถึงสยาม คิดถึงหนังสือไทยที่เคยอ่าน คิดถึงอาหารที่สุดเลย แต่ระยะทางยังอีกไกล มีเรื่องต้องให้เจออีกมาก กว่าจะได้กลับก็คงอีกพักใหญ่ๆ ตอนนี้ขอพบโลกใหม่ที่นี่ไปก่อนแล้วกัน

Wednesday, November 08, 2006

Governor Arnold

เมื่อวาน เป็นวันเลือกตั้งของที่อเมริกา ผมไม่ได้ติดตามข่าวสารอะไรมาก (เพราะไม่มีเวลาดูทีวีหรืออะไรเท่าไหร่) แต่กระนั้นเวลาเปิดมาทีไร ก็มีอันได้เจอ"โฆษณา"ชวนเชื่อของ อาโนลด์ Arnold Schwarzenegger ท่าน Governor ของ California ไปซะทุกครั้ง ดูทีไรก็ฮา เพราะไม่คิดว่ามันจะเป็นอะไรที่เชย และพยายามล้างสมองอเมริกันชนขนาดนี้



อันแรกเพื่อโปรโมทตัวท่านกอเวินเน่อร์ เป็นภาพสวยๆ ดนตรีนิวเอจไพเราะ ประกอบเสียงผู้ชายนุ่มทุ้มแบบสปอตทั่วไป บรรยายคุณงามความดี ว่าท่านอาโนลด์ได้สร้างผลงานอะไรที่น่าภาคภูมิใจเอาไว้บ้าง

อีกอันที่ฮากว่าคือเน้นกลุ่มลูกค้าที่สนับสนุน จอร์จ บุช เราจะได้เห็นภาพอาโนลด์ยืนปราศัยอยู่กลางฝูงชน ประกอบเสียงบรรยายว่าจอร์จ ดับเบิลยู บุช ดียังไง สลับกับตอนที่อาโนลด์ ชูกำปั้นตะโกนว่า "จอร์จ ดับเบิลยู บุช!" แล้วก็มีเสียงบรรยายต่อ แล้วจากนั้นภาพก็รีไวด์ใหม่อีกรอบ "จอร์จ ดับเบิลยู บุช!" บรรยายต่ออีก ภาพรีไวด์อีก "จอร์จ ดับเบิลยู บุช!" บรรยาย "จอร์จ ดับเบิลยู บุช!" บรรยาย "จอร์จ ดับเบิลยู บุช!"

ปิดด้วยเสียงว่า อาโนลด์ ชาวาซีเนกเก้อร์ สนับสนุน จอร์จ ดับเบิลยู บุช!
เออ รู้แล้ว....

ดูจบถึงกับต้องสวดมนต์ว่า สาธุ ขอให้คนอเมริกันอย่าโดนโฆษณาเสร่อๆนี้ล้างสมองได้สำเร็จเลยเทอญ

ติดตามความเป็นไปของอาโนลด์ได้ที่ http://www.schwarzenegger.com/

Sunday, November 05, 2006

Almodovar อยู่ใกล้ไม่กี่ต่อ

เคยได้ยินเรื่อง Six Degrees of Seperation มั้ย
ที่ว่าคนทั่วโลก เชื่อมต่อผ่านถึงกันได้โดยอาศัยคนไม่เกิน 6 คน

เพื่อนที่ CalArts มีคอนเนคชั่นเก๋ๆกันหลายคน
เพื่อนไอซ์แลนด์คนนึง เพิ่งทำงานกับ Clint Eastwood ในหนังเรื่องใหม่
เพื่อนเกาหลี เป็นผู้ช่วยผู้กำกับ2 ให้ คิม คี ดุ้ก ใน The Bow
เพื่อนสเปน มีแฟนเป็นคอมโพสเซอร์หนังของ Almodovar!!!
แสดงว่าผมกับ Pedro Almodovar อยู่ห่างกันแค่่ต่อสองต่อเท่านั้นเอง!

เขาชื่อ Alberto Iglesias ทำดนตรีให้หนังอัลโมโดว่ามาไม่รู้กี่เรื่องต่อกี่เรื่อง
The Flower of My Secret, Life Flesh, All About My Mother, Talk to Her, Bad Education, Volver แล้วยังหนังของ Julio Medem อย่าง The Lovers of the Arctic Circle, Sex And Lucia เมื่อปีก่อน เขาเพิ่งชิงออสการ์จาก The Constant Gardener

เพื่อนผมก็เลยได้ควงแฟนไปงานออสการ์กับเขาด้วย



เพื่อนผมคือผู้หญิงเสื้อแดงที่โดนบังเนี่ยะแหละ ส่วนผู้ชายก็คือแฟนนักแต่งเพลงของเธอ

เมื่ออาทิตย์ก่อน แฟนเธอบินจากสเปนมาที่แคลิฟอร์เนีย เพื่อมาเยี่ยมและทำงานไปด้วย
ประจวบเหมาะกับที่ Volver กำลงจะเข้าฉายพอดี เขาก็เลยมีรอบพิเศษให้กับนักดนตรีด้วยกัน
็เพื่อนผมก็เลยชวนผมไปดู เรียกว่าได้ส่วนบุญไปกับเขาด้วย ที่ยิ่งไปกว่าได้ดูหนัง ก็คือเขาแจกซีดีซาวด์แทรกด้วย ผมก็เลยขอลายเซ็นเจ้าของผลงานซะเลย กรี๊ดสลบ!



ปล.เพื่อนเป็น dancer ที่ดูหนังชนิดฮาร์ดคอ ตอนนี้เรียนหนังและวิดิโออยู่ปีเดียวกับผม หนังที่เธอทำมักผสมผสานการเต้นลงไปด้วย เก๋ไก๋แตกต่างตื่นตา และที่สำคัญ แฟนเธอทำดนตรีให้...

Marie Antoinette ดูเพลิน



ไปดูมาแล้ว Marie Antoinette แล้วก็ไม่เข้าใจว่าทำไมนักวิจารณ์ทั้งหลายถึงด่ากันนักหนา เป็นเพราะการเมือง หรือว่าอะไร เพราะรู้สึกว่าหนังก็ใช้ได้ทีเดียว ชอบนะ คือมันไม่ได้ดีเลิศสุดยอดอะไรขนาดนั้น แต่มันก็ไม่ใช่หนัง hollywood ทั่วไปแน่ๆ มันมีภาษาของมันเอง มีจังหวะ มีมู้ดที่เป็นเอกลักษณ์อยู่ ก็คล้ายๆกับ lost in translation ที่ฉูดฉาด เก๋ไก๋กว่า บางคนอาจจะว่าหนังมันตื้นเขิน อ้าว ก็ดูโปสเตอร์สิ ดูสไตล์สิ มันก็ต้องตื้นเขินอยู่แล้ว จะไปหวังรายละเอียดทางประวัติศาสตร์อะไรกันเล่า ไม่อยากจะสปอย บอกรายละเอียดก่อนได้ดูกัน แต่ถ้าได้มีโอกาสดูกันเมื่อไหร่ ก็อยากแนะนำให้ลองไปดูกัน น่าสนใจทีเดียว อย่างน้อยก็ดูภาพสวยๆเก๋ๆไปก็ได้ ผมว่าดีออก มันเหมือนทำหนังหนังผู้หญิงๆ ผสมแฟชั่น เหมาะแล้วที่ได้ลงปก Vogue

พี่เจ้ยมาเป็น Visiting Artist



ที่ CalArts เขาจะมี visiting artist มาสอน มาบรรยายเรื่อยๆ ทั้งแบบอินดี้ๆมากๆ หรือแบบอินดี้แต่อินเตอร์เป็นที่รู้จักกันทั่วโลก ก็มีมาสม่ำเสมอ สามสี่อาทิตย์ก่อนโน้น Pedro Costa ผู้กำกับ Colossal Youth มาฉายหนังและเปิดเวิร์คชอปให้เด็กนักเรียนหนังที่สนใจเข้าไปปรึกษาพูดคุย มาอาทิตย์ก่อนนี้ เขาได้เชิญพี่เจ้ย

พี่เจ้ยเอาหนังมาฉายตั้งแต่หนังสั้นยุคแรกๆ หนังสั้นยุคหลังๆ หนังสั้นใหม่ล่าสุด สไลด์งานอินสตอลเลชั่น แล้วก็ฉายหนังยาวลงโรงอย่าง สุดเสน่หา แล้วก็สัตว์ประหลาด เรื่องหลังฉายเป็นฟิล์ม 35 ด้วย ภาพคมชัดมาก ดูกี่ทีกี่ทีก็ยังชอบไม่เสื่อมคลาย ยิ่งได้นั่งดูหนังไทย พูดภาษาไทย แล้วคนดูเต็มโรงเป็นฝรั่ง เป็นคนต่างชาติต่างภาษา ก็อดที่จะรู้สึกตื่นเต้นภูมิใจไปไม่ได้ เด็กๆและอาจารย์ที่นี่ก็ต่างตื่นเต้นชื่นชมแซ่ซ้อง มีเพื่อนเกาหลีคนนึง คลั่งพี่เจ้ยมากๆเทิดทูนบูชาสุดฤทธิ์ เรียกว่าพี่เจ้ยฮอตทีเดียวถ้าให้เทียบกับ visit artist ที่ผ่านๆมา



1 อาทิตย์พี่เจ้ยก็ให้นักเรียนเข้ามาพูดคุย พร้อมให้คำแนะนำต่างๆ เด็กๆก็ต้องจองเวลากัน ส่วนผมก็ไม่ได้จองเวลา เพราะไม่ต้องจอง เข้าถึงได้เป็นการส่วนตัวอยู่แล้ว เรียกว่าทั้งอาทิตย์ก็คลุกอยู่กับพี่เจ้ยนั่นแหละ รู้สึกหายคิดถึงกันไปข้างนึง ดีใจและอบอุ่นใจเหมือนโลก 2 ด้านได้มาเชื่อมต่อกัน ไม่ได้พูดภาษาไทยแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยแบบนี้มาตั้งนานแล้ว แถมการเกาะติดพี่เจ้ย ก็ทำให้ได้ไปเจอโน้นเจอนี่ เจอคนและสถานที่น่าสนใจมากมาย ได้ออกไปเที่ยวนอกโรงเรียน เปิดหูเปิดตา ต้องขอบคุณพี่เจ้ยจริงๆ ที่เปิดโอกาสให้ผมอย่างต่อเนื่องหลายครั้งหลายคราไม่หยุดหย่อน

พี่เจ้ยกลับไป เล่นเอาใจหายนิดหน่อยเหมือนกัน เพิ่งมีอาการ homesick ขึ้นมาครั้งแรกเล็กๆ เพราะมันหวนไปนึกถึงตอนอยู่เมืองไทยแล้วถ่ายหนังกับเพื่อนๆพี่ๆที่ kick นึกขึ้นมาทีไร ก็อดที่จะอมยิ้มไม่ได้