Cityzooms@Hannover: 2
Mon: Oct 01, 2006
ตื่นเช้ามากินอาหารโรงแรม กินออมเลตแล้วก็แฮมชนิดต่างๆ เห็นคนต่างชาติเหมือนเรานั่งๆกินอยู่ หลายคนก็คุ้นหน้าคุ้นตา เดาว่าคงเป็นคนทำหนังเหมือนผมนี่แหละ แต่ยังไม่กล้าไม่คุย กระนั้นก็มีคนเข้ามาทักทาย ทุกคนดูเป็นมิตรกันดี
ยังไม่ถึงเวลานัดซึ่งคือตอนบ่ายโมง ก็เลยออกไปเดินเล่นรอบเมืองซักหน่อย แรกๆก็อากาศดีแดดออก ไปๆมาๆฟ้าเริ่มครึ้มเหมือนฝนจะตก ทำให้บ้านเมืองยิ่งดูยุโรปเข้าไปอีก แต่ผมก็ไม่กลัวฝน เพราะผมไม่ใช่เจ้าสาว ก็เลยเดินถ่ายรูปไปเรื่อย แล้วก็พบว่าตัวเองถ่ายแต่รูป architecture ตรอกซอกซอย หน้าต่างบ้าน ปั่นจั่น สิ่งก่อสร้าง อะไรก็ไม่รู้ นี่ถ้าใครมาดูอัลบั้มคงจะงงว่านี่ถ่ายบ้าอะไร เดาว่าเลือดสถาปัตย์มันอยู่ฝังอยู่ลึกๆตรงไหนซักแห่ง เดินอยู่นานจนแทบหลง พยายามหารางรถไฟเพื่อนำทางกลับโรงแรม เหมือนฮันเซลแอนด์เกรเทลเดินตามขนมกลับบ้าน สุดท้ายกว่าจะกลับได้ก็วนอยู่นาน ใกล้เวลานัดพอดี
ผู้คนกำลังแฮงค์เอาท์กันอยู่ข้างล่าง ก็เลยได้พบกับ nika คนที่ผมต้องคู่ด้วย เธออายุ 24 แต่หน้าตาดูอายุมากกว่านั้นอยู่มากทีเดียว แน่นอน ผมไม่ได้บอกเธอหรอก นอกนั้นก็รู้สึกว่า เธอน่ารักดี เป็นมิตร ดูเหมือนภาษาอังกฤษเธอจะมีปัญหานิดหน่อยในการสื่อสาร ซึ่งจะว่าไปแล้วก็ไม่ได้แย่ไปกว่าผมเท่าไหร่เลย แต่จะบอกว่า เธอพูดได้ 4 ภาษาคือ รัซเซีย อัลเบอร์เนีย? หรืออะไรซักอย่าง เยอรมัน แล้วก็อังกฤษ คือถ้าพูดได้ 4 ภาษาแบบนี้ จะไม่ค่อยดีซักภาษา ผมก็ไม่ว่าซักคำ
เจอ Harald ซึ่งแปลกมากที่หน้าเขาเหมือน ไฉ้ หมิง เลี่ยง เพิ่งรู้ว่าคนเยอรมันหน้าตาเหมือน ไฉ้ หมิง เลี่ยง ได้ด้วย เขาก็จัดการเรื่องเงิน เรื่องตั๋วเดินทาง เมื่อรู้ว่าได้เงินค่ากินอยู่ พร้อมค่าเดินทางทุกอย่างเรียบร้อย ก็รู้สึกมีความสุขเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า นึกถึงใครไม่รู้ที่เคยพูดไว้ว่า หนังนี่แหละที่พาเขาเที่ยวไปทั่วโลก มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ ทำหนังแล้วอยู่ดีๆมีคนให้เงินมาทำหนัง ให้ข้าวกิน แถมให้ค่าเครื่องบินมาบินเที่ยวอีก ...CityZooms จงเจริญ
ถึงเวลานัด ทุกคนก็รวมตัวกันที่โรงอาหาร ทีมงานแนะนำตัว แล้วก็ให้พวกเราคนทำหนังทั้ง 24 คนแนะนำตัว เวลานี่แหละที่เราจะได้รู้ว่าใครคู่กับใคร แล้วพวกเราก็ได้แผนที่ ว่าแต่ละทีมต้องไป "Zoom" Hannover กันที่ส่วนไหน เพราะแต่ละทีมต้องไปซูมกันคนละที่ บรรยากาศเป็นไปอย่างชื่นมื่น บางคู่เมื่อเห็นคู่ตัวเอง ก็โผเข้ากอดกัน ราวกับได้เจอเพื่อนเก่าแก่ที่พัดพรากกันมานาน
หนังแต่ละเรื่่องยาวได้แค่ 3 นาทีเท่านั้น แล้วก็มีกฎมากมายเพื่อนความมันส์ เช่น ห้ามเป็น MV ห้ามใช้เสียงดนตรีถ้ามันไม่ได้ distorted แล้ว ห้ามใช้โมโนล็อค ไดอาล็อค ห้ามทำแบบรายงานข่าว ห้ามเป็น documentary ธรรมดา ห้ามโน้นห้ามนี่เต็มไปหมด จนสุดท้ายคงต้องเป็นหนัง experimental นั่นแหละ ก็งงๆเหมือนกัน ว่าเออ สนุกดีแหละ แต่จะว่าไป ก็เข้าทางผมอยู่
ประชุมเสร็จ ผมก็ลงมานั่งคุยไอเดียกับ nika รู้สึกสบายใจ ที่เหมือนว่าสมองพวกเราจะทำงานไปในทางเดียวกัน แม้จากการสัมภาษณ์จะพบว่าเธอทำงานหลายชิ้นเป็นฟิกชั่น แต่กระนั้นไอเดียวก็เธอก็ดูจะเข้าทางผมมาก หลายไอเดียราวกับว่าผมคิดเอง เอะหรือว่า CityZooms เขาเก่งมากขนาดที่จับคู่ได้ว่าใครควรคู่กับใคร แต่ผมว่าบังเอิญมากกว่า
จากนั้นก็มีการถ่ายรูปรวมกัน ทุกคนก็น่ารักดี เขาแจกเสื้อแจ็คเก็ตแบบทีมงานเบื้องหลังทีวีใส่กัน แล้วก็เจอหมวกด้วย ดีใจอีกแล้วได้ของฟรี รับของกันเสร็จด้วยรอยยิ้ม ทุกคนก็พากันยกโขยงไปดื่มกินกันที่ไหนซักแห่ง ผมไปไม่ทัน เพราะต้องรอ nika จัดการเรื่องเงินค่าตั๋วเครื่องบินของเธอ แน่นอน คนชาติไหนก็ต้องการเงินเป็นธรรมดา สุดท้ายพวกเราก็เลยไปเดินกินกันโดยลำพัง เพราะตามหาชาวบ้านไม่เจอ
กลับมา ก็มีนัดทัวร์พาดูวิธีเขียนอินเตอร์เน็ตลงคอมพ์อีก เพราะเขาบังคับให้พวกเราเขียนไดอารี่บันทึกการทำงานแต่ละวัน และต้องตอบแบบสอบถามของเขาด้วยทุกวัน เพื่อบันทึกความเป็นไปของโครงการ รู้สึกว่า พวกทีมงานนี่แอ๊กทีฟกันดี กระตือรือร้นกันมาก เดินไปไหนก็มีคนถ่ายวิดิโอพวกเราคุย ถ่ายพวกเราทำงานกันตลอดเวลา จนบางทีก็งงๆว่าเอ๊ะ ตกลงใครทำหนังกันแน่ นี่มันหนังซ้อนหนัง ซ้อนหนัง ซ้อนหนังนี่ เพราะมันก็กล้องอยู่เพ่นพ่านเต็มไปหมด
ทัั้งวันมี session เล็กๆเยอะมาก ถ่ายรูปรวม ถ่ายแล้วถ่ายอีก แล้วก็ต้องลงมาซ้อมพิธีเปิดงาน แต่ละ session จบลงภายใน 10 นาที จนงงว่าทำไมเขาไม่รวมทั้งหมดให้จบใน session เดียว เพือ่นเยอรมัน Yannik ที่ผมรู้สึกสนิทบอกว่า สงสัยเขาต้องการให้สอดคล้องกับงาน ที่เป็นหนังสั้นๆหลายชิ้นมารวมกัน พวกเราก็เลยสรุปว่า มาคงเป็น concept
แอบขึ้นไปนอนอยู่หลายรอบ สุดท้ายก็ได้เปิดงานจริงๆซะที เปิดงาน ด้วยการตีกล้องต้อนรับ คนตีก็ขึ้นไปอยู่ระเบียงห้องของโรงแรม โดยมีคนนำอยู่ด้านล่าง จังหวะกลองคึกคักน่ารักเวลาลงเล่น แต่เล่นกันนานมาก ไม่จบซะที สงสัยเป็นวิถีเยอรมันหรือเปล่า แต่ไม่น่าจะใ่ช่ เพราะเพื่อนเยอรมันก็งงเหมือนกัน ตีกลองเสร็จ ก็จบงาน ...ไม่ใช่ ตีกลองกันไปประมาณ 7 ชั่วโมงครึ่ง ก็ได้ฤกษ์ขึ้นเวทีแนะนำตัว ขึ้นไปทีละทีม ผมเป็นทีมที 2 เขาถามผมว่า ตอนอยู่เมืองไทยเรียนสถาปัตย์ไม่ใช่เหรอ ทำไมมาทำหนัง ก็ตอบเขาไปว่า อยู่เมืองไทยไม่ค่อยได้มีโอกาสออกแบบอะไร cool cool ก็เลยเปลี่ยนใจมาทำหนังดีกว่า จากนั้นเราก็ถ่ายรูป nika ทั้งๆที่อยู่บนเวทีนั่นแหละ ทำแบบนั้นไม่แปลกหรอก เพราะคนที่นี่ดูเหมือนก็ถ่ายรูปกันเป็นว่าเล่นเหมือนกัน อย่าง nika เธอเล่นหนักกว่าอีก เพราะเธอถ่ายวิดิโอตลอดเวลา
จบงานก็ตีกลองปิดงานไปอีก 7 ชั่วโมง แล้วก็มีปาร์ตี้เล็กๆกันต่อ มีอาหารและเครื่องดื่มบิ้วท์อารมณ์ แสงในงานสีแดงจัดจ้านมาก ทำเอาทุกคนหน้าเลือดเป็นทิวแถว ในนั้นมีทีวีฉายพวกเราขึ้นจอด้วย ก็เป็นภาพที่ทีมงานถ่ายทำตอนกลางวันนั่นแหละ เหมาะกับเป็นงานทำหนังจริงๆ เพราะเห็นหนังตัดต่อขึ้นจอกันสดๆ ทำให้รู้สึกว่างานนี้มันอินเตอร์แอกทีฟดีโดยแท้
คุยกับชาวบ้าน make friend ไปเรื่อย ก็ได้ไปนั่งดูงาน ของ Yannik เพื่อนคนนี้ อายุแค่ 19 แต่ว่าทำหนังสั้นมากว่า 10 เรื่องแล้ว แต่ละคนเห็นแล้วแอบอาย เพราะไม่ใช่เล่นๆเลย ในแง่ของมุมมองและในแง่ของเทคนิก ยิ่งเขาบอกว่าทุกอย่างเขาเรียนรู้ด้วยตัวเอง ไม่ได้เรียนจากโรงเรียนแต่อย่างใด แถมเขายังทำ หนังยาวด้วย ใช้เวลา 2 ปี เงินตัวเอง เรียกว่าใจรักใช้ได้ เขาว่าเขาสมัครมหาลัยทำหนังที่นี้ แล้วโดยบอกว่า ยังเด็กเกินไป ให้ไปใช้ชีวิตซะก่อน แล้วค่อยกลับมาเรียน ถึงจะเป็นคนทำหนังที่ดีได้ เออ อย่างนี้ก็มีด้วยแหะ จะว่าไปก็เป็นปรัชญาที่ลึกซึ้งน่ายกย่องดีนะ แต่ก็สงสัยว่ามันเวิร์คจริงหรือเปล่า?
ตื่นเช้ามากินอาหารโรงแรม กินออมเลตแล้วก็แฮมชนิดต่างๆ เห็นคนต่างชาติเหมือนเรานั่งๆกินอยู่ หลายคนก็คุ้นหน้าคุ้นตา เดาว่าคงเป็นคนทำหนังเหมือนผมนี่แหละ แต่ยังไม่กล้าไม่คุย กระนั้นก็มีคนเข้ามาทักทาย ทุกคนดูเป็นมิตรกันดี
ยังไม่ถึงเวลานัดซึ่งคือตอนบ่ายโมง ก็เลยออกไปเดินเล่นรอบเมืองซักหน่อย แรกๆก็อากาศดีแดดออก ไปๆมาๆฟ้าเริ่มครึ้มเหมือนฝนจะตก ทำให้บ้านเมืองยิ่งดูยุโรปเข้าไปอีก แต่ผมก็ไม่กลัวฝน เพราะผมไม่ใช่เจ้าสาว ก็เลยเดินถ่ายรูปไปเรื่อย แล้วก็พบว่าตัวเองถ่ายแต่รูป architecture ตรอกซอกซอย หน้าต่างบ้าน ปั่นจั่น สิ่งก่อสร้าง อะไรก็ไม่รู้ นี่ถ้าใครมาดูอัลบั้มคงจะงงว่านี่ถ่ายบ้าอะไร เดาว่าเลือดสถาปัตย์มันอยู่ฝังอยู่ลึกๆตรงไหนซักแห่ง เดินอยู่นานจนแทบหลง พยายามหารางรถไฟเพื่อนำทางกลับโรงแรม เหมือนฮันเซลแอนด์เกรเทลเดินตามขนมกลับบ้าน สุดท้ายกว่าจะกลับได้ก็วนอยู่นาน ใกล้เวลานัดพอดี
ผู้คนกำลังแฮงค์เอาท์กันอยู่ข้างล่าง ก็เลยได้พบกับ nika คนที่ผมต้องคู่ด้วย เธออายุ 24 แต่หน้าตาดูอายุมากกว่านั้นอยู่มากทีเดียว แน่นอน ผมไม่ได้บอกเธอหรอก นอกนั้นก็รู้สึกว่า เธอน่ารักดี เป็นมิตร ดูเหมือนภาษาอังกฤษเธอจะมีปัญหานิดหน่อยในการสื่อสาร ซึ่งจะว่าไปแล้วก็ไม่ได้แย่ไปกว่าผมเท่าไหร่เลย แต่จะบอกว่า เธอพูดได้ 4 ภาษาคือ รัซเซีย อัลเบอร์เนีย? หรืออะไรซักอย่าง เยอรมัน แล้วก็อังกฤษ คือถ้าพูดได้ 4 ภาษาแบบนี้ จะไม่ค่อยดีซักภาษา ผมก็ไม่ว่าซักคำ
เจอ Harald ซึ่งแปลกมากที่หน้าเขาเหมือน ไฉ้ หมิง เลี่ยง เพิ่งรู้ว่าคนเยอรมันหน้าตาเหมือน ไฉ้ หมิง เลี่ยง ได้ด้วย เขาก็จัดการเรื่องเงิน เรื่องตั๋วเดินทาง เมื่อรู้ว่าได้เงินค่ากินอยู่ พร้อมค่าเดินทางทุกอย่างเรียบร้อย ก็รู้สึกมีความสุขเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า นึกถึงใครไม่รู้ที่เคยพูดไว้ว่า หนังนี่แหละที่พาเขาเที่ยวไปทั่วโลก มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ ทำหนังแล้วอยู่ดีๆมีคนให้เงินมาทำหนัง ให้ข้าวกิน แถมให้ค่าเครื่องบินมาบินเที่ยวอีก ...CityZooms จงเจริญ
ถึงเวลานัด ทุกคนก็รวมตัวกันที่โรงอาหาร ทีมงานแนะนำตัว แล้วก็ให้พวกเราคนทำหนังทั้ง 24 คนแนะนำตัว เวลานี่แหละที่เราจะได้รู้ว่าใครคู่กับใคร แล้วพวกเราก็ได้แผนที่ ว่าแต่ละทีมต้องไป "Zoom" Hannover กันที่ส่วนไหน เพราะแต่ละทีมต้องไปซูมกันคนละที่ บรรยากาศเป็นไปอย่างชื่นมื่น บางคู่เมื่อเห็นคู่ตัวเอง ก็โผเข้ากอดกัน ราวกับได้เจอเพื่อนเก่าแก่ที่พัดพรากกันมานาน
หนังแต่ละเรื่่องยาวได้แค่ 3 นาทีเท่านั้น แล้วก็มีกฎมากมายเพื่อนความมันส์ เช่น ห้ามเป็น MV ห้ามใช้เสียงดนตรีถ้ามันไม่ได้ distorted แล้ว ห้ามใช้โมโนล็อค ไดอาล็อค ห้ามทำแบบรายงานข่าว ห้ามเป็น documentary ธรรมดา ห้ามโน้นห้ามนี่เต็มไปหมด จนสุดท้ายคงต้องเป็นหนัง experimental นั่นแหละ ก็งงๆเหมือนกัน ว่าเออ สนุกดีแหละ แต่จะว่าไป ก็เข้าทางผมอยู่
ประชุมเสร็จ ผมก็ลงมานั่งคุยไอเดียกับ nika รู้สึกสบายใจ ที่เหมือนว่าสมองพวกเราจะทำงานไปในทางเดียวกัน แม้จากการสัมภาษณ์จะพบว่าเธอทำงานหลายชิ้นเป็นฟิกชั่น แต่กระนั้นไอเดียวก็เธอก็ดูจะเข้าทางผมมาก หลายไอเดียราวกับว่าผมคิดเอง เอะหรือว่า CityZooms เขาเก่งมากขนาดที่จับคู่ได้ว่าใครควรคู่กับใคร แต่ผมว่าบังเอิญมากกว่า
จากนั้นก็มีการถ่ายรูปรวมกัน ทุกคนก็น่ารักดี เขาแจกเสื้อแจ็คเก็ตแบบทีมงานเบื้องหลังทีวีใส่กัน แล้วก็เจอหมวกด้วย ดีใจอีกแล้วได้ของฟรี รับของกันเสร็จด้วยรอยยิ้ม ทุกคนก็พากันยกโขยงไปดื่มกินกันที่ไหนซักแห่ง ผมไปไม่ทัน เพราะต้องรอ nika จัดการเรื่องเงินค่าตั๋วเครื่องบินของเธอ แน่นอน คนชาติไหนก็ต้องการเงินเป็นธรรมดา สุดท้ายพวกเราก็เลยไปเดินกินกันโดยลำพัง เพราะตามหาชาวบ้านไม่เจอ
กลับมา ก็มีนัดทัวร์พาดูวิธีเขียนอินเตอร์เน็ตลงคอมพ์อีก เพราะเขาบังคับให้พวกเราเขียนไดอารี่บันทึกการทำงานแต่ละวัน และต้องตอบแบบสอบถามของเขาด้วยทุกวัน เพื่อบันทึกความเป็นไปของโครงการ รู้สึกว่า พวกทีมงานนี่แอ๊กทีฟกันดี กระตือรือร้นกันมาก เดินไปไหนก็มีคนถ่ายวิดิโอพวกเราคุย ถ่ายพวกเราทำงานกันตลอดเวลา จนบางทีก็งงๆว่าเอ๊ะ ตกลงใครทำหนังกันแน่ นี่มันหนังซ้อนหนัง ซ้อนหนัง ซ้อนหนังนี่ เพราะมันก็กล้องอยู่เพ่นพ่านเต็มไปหมด
ทัั้งวันมี session เล็กๆเยอะมาก ถ่ายรูปรวม ถ่ายแล้วถ่ายอีก แล้วก็ต้องลงมาซ้อมพิธีเปิดงาน แต่ละ session จบลงภายใน 10 นาที จนงงว่าทำไมเขาไม่รวมทั้งหมดให้จบใน session เดียว เพือ่นเยอรมัน Yannik ที่ผมรู้สึกสนิทบอกว่า สงสัยเขาต้องการให้สอดคล้องกับงาน ที่เป็นหนังสั้นๆหลายชิ้นมารวมกัน พวกเราก็เลยสรุปว่า มาคงเป็น concept
แอบขึ้นไปนอนอยู่หลายรอบ สุดท้ายก็ได้เปิดงานจริงๆซะที เปิดงาน ด้วยการตีกล้องต้อนรับ คนตีก็ขึ้นไปอยู่ระเบียงห้องของโรงแรม โดยมีคนนำอยู่ด้านล่าง จังหวะกลองคึกคักน่ารักเวลาลงเล่น แต่เล่นกันนานมาก ไม่จบซะที สงสัยเป็นวิถีเยอรมันหรือเปล่า แต่ไม่น่าจะใ่ช่ เพราะเพื่อนเยอรมันก็งงเหมือนกัน ตีกลองเสร็จ ก็จบงาน ...ไม่ใช่ ตีกลองกันไปประมาณ 7 ชั่วโมงครึ่ง ก็ได้ฤกษ์ขึ้นเวทีแนะนำตัว ขึ้นไปทีละทีม ผมเป็นทีมที 2 เขาถามผมว่า ตอนอยู่เมืองไทยเรียนสถาปัตย์ไม่ใช่เหรอ ทำไมมาทำหนัง ก็ตอบเขาไปว่า อยู่เมืองไทยไม่ค่อยได้มีโอกาสออกแบบอะไร cool cool ก็เลยเปลี่ยนใจมาทำหนังดีกว่า จากนั้นเราก็ถ่ายรูป nika ทั้งๆที่อยู่บนเวทีนั่นแหละ ทำแบบนั้นไม่แปลกหรอก เพราะคนที่นี่ดูเหมือนก็ถ่ายรูปกันเป็นว่าเล่นเหมือนกัน อย่าง nika เธอเล่นหนักกว่าอีก เพราะเธอถ่ายวิดิโอตลอดเวลา
จบงานก็ตีกลองปิดงานไปอีก 7 ชั่วโมง แล้วก็มีปาร์ตี้เล็กๆกันต่อ มีอาหารและเครื่องดื่มบิ้วท์อารมณ์ แสงในงานสีแดงจัดจ้านมาก ทำเอาทุกคนหน้าเลือดเป็นทิวแถว ในนั้นมีทีวีฉายพวกเราขึ้นจอด้วย ก็เป็นภาพที่ทีมงานถ่ายทำตอนกลางวันนั่นแหละ เหมาะกับเป็นงานทำหนังจริงๆ เพราะเห็นหนังตัดต่อขึ้นจอกันสดๆ ทำให้รู้สึกว่างานนี้มันอินเตอร์แอกทีฟดีโดยแท้
คุยกับชาวบ้าน make friend ไปเรื่อย ก็ได้ไปนั่งดูงาน ของ Yannik เพื่อนคนนี้ อายุแค่ 19 แต่ว่าทำหนังสั้นมากว่า 10 เรื่องแล้ว แต่ละคนเห็นแล้วแอบอาย เพราะไม่ใช่เล่นๆเลย ในแง่ของมุมมองและในแง่ของเทคนิก ยิ่งเขาบอกว่าทุกอย่างเขาเรียนรู้ด้วยตัวเอง ไม่ได้เรียนจากโรงเรียนแต่อย่างใด แถมเขายังทำ หนังยาวด้วย ใช้เวลา 2 ปี เงินตัวเอง เรียกว่าใจรักใช้ได้ เขาว่าเขาสมัครมหาลัยทำหนังที่นี้ แล้วโดยบอกว่า ยังเด็กเกินไป ให้ไปใช้ชีวิตซะก่อน แล้วค่อยกลับมาเรียน ถึงจะเป็นคนทำหนังที่ดีได้ เออ อย่างนี้ก็มีด้วยแหะ จะว่าไปก็เป็นปรัชญาที่ลึกซึ้งน่ายกย่องดีนะ แต่ก็สงสัยว่ามันเวิร์คจริงหรือเปล่า?
0 Comments:
Post a Comment
<< Home