Sunday, September 03, 2006

เดินทางสู่สหรัฐอเมริกา

TUE 29 Aug 2006

ผมและคุณพ่อคุณแม่ ช่วยแบกกระเป๋าอันหนักหน่วงขึ้นรถ เช็คความเรียบร้อยในห้อง และกระเป๋า ไหว้พระ ไหว้เจ้าที่ ออกเดินทางมาสนามบินดอนเมือง ไปถึงตั้ง 15.00 ก็เลยนั่งรอกันจนกว่าจะ 16.00 อันเป็นเวลานัด จะได้โหลดกระเป๋า ที่ตึก international อาคาร 2 ช่อง 14 ระหว่างรอ คุณแม่ก็ถ่ายรูปเก็บเป็นที่ระลึก ด้วยกล้องฟิล์ม ส่วนผม ก็ถ่ายดิจิตอลเก็บไว้ดูเองด้วย

ถึง 16.00 เอากระเป๋าไปแสกน เสียวเหมือนกันว่าจะโดนค้น แต่ก็ไม่โดน มีคนขู่ไว้เยอะ แต่พอชั่งน้ำหนัก ปรากฏว่ามันเกิน เพราะแต่ละกระเป๋าเขาไม่ให้เกิน 32 โล ผมมี 2 กระเป๋า ล่อเข้าไป 60 กว่าโล ราวกับย้ายบ้าน ไม่ต้องซื้ออะไรกันอีก 3 ปีกันเลยทีเดียว ก็เลยต้องมีการเปิดกระเป๋า จัดกันใหม่ เรียกว่าแก้ผ้ากันต่อหน้าประชาชี สุดท้ายแก้ปัญหาด้วยด้วยการย้ายเอาหนังสือมาใส่ในเป้สะพายขึ้นเครื่องแทน โชคดีที่ถ่ายโอนสำเร็จ น้ำหนักผ่านเกณฑ์ นึกว่าจะเกิน ไม่รอด ต้องให้ขนกลับบ้านกันซะแล้ว

กระเป๋าเรียบร้อย ก็ไปถ่ายรูปต่อ นั่งรอเวลา นั่งคุยกันนาน กับคุณย่า คุณอาอีกสองคน เห็นคุณบอยด์โกสิยพงศ์ด้วย(ขึ้นเครื่องลำเดียวกัน ไม่รู้คุณบอยด์ไปทำอะไร แต่คงไม่ใช่เรียนต่อ)แล้วก็รอโก๋กับนุ้กมาส่งถึงสนามบิน

ด่าน immigration ก็ไม่มีอะไร ก็ผ่านไปด้วยดี เดินไปด้านใน duty free ก็โทรบอกพ่อกับแม่ว่าเรียบร้อยแล้ว เดินไปนั่ง รอขึ้นเครื่อง เจอกับซุ้มค้นเป้ หาของเหลว ตามตำนานที่ร่ำลือกัน

ผมไม่มีของเหลวอะไรอยู่แล้วนอกจากน้ำในร่างกาย ก็เลยผ่านฉลุย ถ่ายรูปเขาก็มาห้าม แต่ก็แอบถ่ายจนได้ แล้วผมก็ได้ประจันหน้ากับมัน!

ผ่าง!!!!

TG794 เครื่องบินที่จะพาผมไปอเมริกา

ขึ้นเครื่อง ผมนั่งอยู่แถวตรงกลาง แถวที่สองจากหลังสุด ด้านซ้ายเป็นผู้หญิงคนหนึ่งผิวคล้ำๆ ทางขวาเป็นเฮียคนนึง ผมไม่ได้คุยกับเฮีย แต่คุยกับเจ้ผิวคล้ำอยู่หลายครั้ง เวลาจะฉี่ก็ขอเจ้ ไม่กล้าขอเฮีย เพราะเฮียดูโหด

ภายในเครื่องบิน กับมุมมองที่จะเห็นไปอีกเกือบทั้งวัน

กว่าเครื่องจะขึ้นก็ล่อเข้าไป 21.10 แทนที่จะเป็น 19.10 เลทไปกว่า 2 ชั่วโมงเพราะกับตันแจ้งว่า In-flight entertainment มีปัญหา ฮาดีมั้ยล่ะ

ผมนั่งอยู่ข้างหน้าคนเสื้อเขียว

จอทีวีเป็นแบบติดกับผนักด้านหน้า ไม่ใช่จอใหญ่ดูรวมกัน ตอนแรกเครื่องผมดูไม่ได้ ผมก็คิด แม่งรอตั้งสองชั่วโมง ดันดูไม่ได้ มันน่านัก แจ้งแอร์สาว เขาเลยว่าต้อง reboot ใหม่ก่อน ในที่สุดก็ดูได้ ก็เลยได้ดู "เด็กโต๋" ใครถามว่าดูเด็กโต๋ที่ไหน จะบอกว่าดูเด็กต่อเหนือมหาสมุทรแปซิฟิก ช่วยให้หนังดูไฮโซขึ้น 5 เท่าตัว ผมว่าหนังมันง่ายๆดีนะ เล่นเอาน้ำตาไหลบนเครื่องบิน จากนั้นก็ได้ดูเรื่องอื่นนิดๆหน่อย เช่น high school musical ซึ่งคลิเช่มากๆ แล้วก็ดู Bambi, The Lion King บางฉาก ตอนแรกกะว่าจะดูหลายเรื่อง สุดท้ายก็ง่วงๆ เลยนอนซะยาว

จอมีเมนูให้เลือกหลายรายการ

Dek-Tow on a plane!

นอนยาวก็เลยกำจัดเวลาเหลือเฟือไปได้เยอะ นอกจากกินข้าวกินน้ำและดูทีวี อ่านหนังสือดาไลลามะนิดหน่อยแล้ว ผมก็นอนลูกเดียว สรุปการเดือนทางใช้เวลาประมาณ 15 ชั่วโมง 20 นาที ถ้ารวมกับที่รออีกสองชั่วโมงที่นั่งเฉยๆตอนแรก ก็ประมาณ 17 ชั่วโมงกว่าๆกับการอยู่บนเครื่องบิน

มองเห็นหรือเปล่าว่าเครื่องบินผมอยู่ตรงไหน?

บนจอเลือกดูแผนที่ และข้อมูลการบินได้ ที่เจ๋งคือมันมีรูปเครื่องบินเคลื่อนที่ด้วย ทำให้เรารู้ว่าตอนนี้เครื่องเราอยู่ตรงไหนแล้ว พอใกล้ๆ LA ก็เลยถ่ายรูปไว้ ใกล้ลงเราก็เตรียมกล้อง แม้เขาจะเตือนไม่ให้ใช้เครื่อง electronic ก็ตาม แต่เห็นผู้หญิงคนหนึ่งถ่ายรูป ผมก็เลยเอาบ้าง อาการบ้าถ่ายรูปมันเริ่มตั้งแต่ยังไม่ลงดิน

เครื่องจะลงจอดเรียบร้อยหรือไม่ เพื่อนผมจะมารอรับหรือเปล่า หรือเลทจนทนไม่ได้หนีกลับไปแล้ว อากาศจะเป็นอย่างไร ผมจะยังบ้าถ่ายรูปต่อไปหรือไม่ และอเมริกาจะเป็นอย่างไร โปรดติดตาม.... ผ่าง!!!!

0 Comments:

Post a Comment

<< Home