Wednesday, January 10, 2007

The Boss of It All ขำแบบอาร์ตๆ



หนึ่งในหนังที่เราอยากดูถึงมากที่สุด คือหนังเรื่องนี้ The Boss of It All หนังใหม่ของ Lars Von Trier ที่อยากดูสุดๆ ไม่ใชแค่เพราะเป็นหนังของ Von Trier เท่านั้น แต่เป็นเพราะมันเป็น comedy ด้วย อยากรู้จริงๆว่า ผู้กำกับใจร้ายคนนี้จะรับมือกับหนังตลกได้ยังไง

เพราะเราสงสัยมานานแล้วว่า ทำไมความเป็นอาร์ตกับความตลกมันไม่ค่อยจะไปด้วยกันเลย เพราะนึกถึงหนังอาร์ตทีไร มันก็จะนิ่งๆเบื่อๆลึกๆ ซึ่งต่อให้เราชอบมันมากแค่ไหน แต่ก็แอบคิดอยู่ตลอดเวลาแล้วอารมณ์ขันล่ะ? ทำไมเวลาดูหนังเยี่ยมๆทีไร มันเป็นหนังที่ได้แต่ทำหน้าตูด หน้าอึ้ง ทึ่ง หรือไม่ก็น้ำตาไหลลึก ทำไมไม่ค่อยได้ฮาระหว่างดูหนังอาร์ต แม้กระทั่งหนังสั้นของเราทำเอง ก็มีแต่หนังหลับๆนิ่งๆ(แทบ)ทั้งนั้น อารมณ์ขันเราหายไปไหนหว่า เราก็ว่าเป็นคนตลกนะ(แม่บอก) อย่าบอกนะว่าคนทำหนังอาร์ตไม่ชอบหัวเราะ ไม่งั้นจะไม่คบ จริงๆแล้วอารมณ์ขันเป็นวัตถุดิบสำคัญไปสู่การบรรลุด้วยซ้ำ ดูรอยยิ้มบนปรมาจารย์เต๋าทั้งหลายสิ อารมณ์ดีจะตาย อารมณ์ขันมันผิดตรงไหน?

จะว่าไป หนังอาร์ตหลายเรื่องก็แทรกอารมณ์ขันกันอยู่เยอะ จะขำกันเนียนๆแอบๆ ขำกันนิ่งๆหน้าตายก็เห็นบ่อย ขำแบบจู่ๆขำไม่ทันตั้งตัวก็มี แต่ที่เน้นขำกันเป็นหลัก ไม่ใช่ซ่อนอยู่หยิมๆนั้นมีไม่เยอะ ประเภทจัดวางในร้านวิดิโอต้องอยู่หมวด comedy หาไม่ค่อยได้

ในคลาสที่โรงเรียนก็เคยถกกันถึงอารมณ์ขันว่าทำไมคนทำหนัง"จริงจัง"ทั้งหลาย หวาดกลัวกับอารมณ์ขัน เป็นเพราะอารมณ์ขันของแต่ละคนมันต่างกันเกินไปหรือเปล่า เป็นเพราะอารมณ์ขันมันแบ่ง class ของคนหรือเปล่า หรือเพราะการหัวเราะมันตื้นเขิน ไม่ลึกซึ้งพอ หรือเพราะอะไรกันแน่ มีอยู่วันนึงในคลาสชื่อ Radicalizing Vision ซึ่งเป็นคลาสฉาย "หนังอาร์ต" ระดับ Hardcore ประเภทไม่อดทน ย่อมแพ้พ่าย อาจารย์จัด Theme "Comedy" ฉายหนังเน้นอารมณ์ขันโดยเฉพาะ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศที่เยี่ยมมาก แม้หนังอาร์ตพวกนี้จะไม่ได้ฮาแบบขี้แตก แต่เป็นฮาแบบพิลึก ตลกแบบอาร์ตๆ ประเภทดูแล้วเอ๊ะ... ขำดีหรือเปล่า แรกๆกระมิดกระเมี้ยนขำ หลังๆก็ขำก๊าก สดชื่นดีแท้



กลับมาที่ Von Trier ต่อ แม้จะทำหนังตลก แต่เขาก็ยังไว้ลาย ด้วยการทำหนังตลกที่ไม่ธรรดา ใครดูตัวอย่างจะเห็นมุมกล้องพิลึกๆ ไม่ใช่เพราะเจ้าตัวเลือกมุมกล้องแบบนั้นเพื่อความเท่ แต่เพราะเขา"เคลม"ว่า เขา "no longer see the point in framing" เขาทำหนังเรื่องนี้โดยไม่ใช้ตากล้อง แต่ใช้ระบบที่เขาจดทะเบียนแล้วมีชื่อว่า Automavision ซึ่งคือหลังจากเลือกตำแหน่งกล้องว่าควรอยู่ตรงไหนแล้ว เขาให้คอมพิวเตอร์เลือกมุมกล้อง เลือกการแพน เลือกโฟกัส เลือกแม้กระทั่งเสียง ตามพารามิเตอร์ที่ตั้งไว้ ได้ออกมายังไง เขาก็ใช้อย่างงั้น อะไรประมาณนั้น

แถมเขายังมี lookey อันเป็นสิ่ง "แปลกปลอม" อยู่ในหนังอีก 5-7 อย่าง ให้คนดูคอยจับตาเหมือนเล่นเกมส์ โดยแต่ละอย่าง มีความสัมพันธ์กันตามตรรกะของหนัง หรืออะไรซักอย่าง คนดูคนไหนจับได้หมด ได้สิทธิ์ไปเป็นตัวประกอบหนังใหม่เรื่องต่อไปด้วย ...เอาเข้าไป (แอ๊ะ อย่าโลดเต้นไป คนไทยหมดสิทธิ์นะ เพราะเขาให้แค่คนเดนมาร์ก)

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความตลกประหลาดเรื่องนี้ได้ที่เว็บ http://www.direktorenfordethele.dk/
ระหว่างรอหนังเรื่องนี้ฉาย ไปเอา Zoolander มาดูอีกดีกว่า :p

5 Comments:

Blogger black forest said...

โอ๊ะ

นี่ถ้าให้ดู Trailer อย่างเดียวก็คงเดาไม่ถูกจริง ๆ ว่าจะเป็นหนังของ Lars von Trier เพราะไม่เคยมีภาพของเขากำกับหนังแนวนี้อยู่ในหัวสมองมาก่อนเหมือนกัน

ส่วนหนังแนว Comedy ที่เคยโปรดปรานมาก ๆ ก็คือ Mon oncle ของ Jacques tati ที่นำเสนอเรื่องราวที่น่าจะดูจริงจังอย่างเรื่องความเจริญก้าวหน้าของเทคโนโลยีออกมาได้น่ารักน่าขันและชวนหัวร่อเสียจริง ๆ

10:48 AM  
Blogger Riverdale said...

นักวิจารณ์ เดวิด บรอดเวลล์ พูดถึงหนังเรื่องนี้เอาไว้ที่นี่ ลองเข้าไปอ่านดูนะครับ

http://www.davidbordwell.net/blog/?p=202

10:03 PM  
Blogger Boat said...

ขอบคุณมากครับพี่

ยิ่งอ่านก็ยิ่งอยากดู ลิงค์ต่อไปเรื่อยๆจากเว็บนั้น ก็น่าสนใจครับ

ช่วยนี้กำลังอ่านหนังสือ Dogme Uncut อยู่ครับ

11:01 PM  
Blogger Boat said...

Playtime ก็ฮามากๆเลยนะครับพี่อ้วน

(ผมยังดูไม่จบ แต่ชอบมาก)

11:18 PM  
Anonymous Anonymous said...

กรี๊เดดด อยากดู

ชอบหนังของ จ๊าก ตาตี่ เหมือนกัน (เคยดูแต่ที่ อ.แดง เปิดอ่ะนะ ไม่เคยดูเต็มๆ ซะที)

11:53 PM  

Post a Comment

<< Home