Sunday, January 07, 2007

โดน Tag กลางวันแสกๆ

----------------------------------------------------------------------
celinejulie said...
น้อง BOAT โดนดิฉัน tag แล้วนะ

blog tag ในที่นี้คือการบอกอะไรเกี่ยวกับตัวเองมา 5 อย่างแล้วเอาไป tag คนอื่นต่อ เหมือนเป็นจดหมายลูกโซ่ประเภทหนึ่ง

อ่านของดิฉันได้ที่
http://celinejulie.blogspot.com/2007/01/technopolyclinic.html

ดูร่องรอยของ BLOG TAG ได้ที่
http://www.keng.ws/files/blog-tag_trace.html
(รู้สึกว่าเขาจะสะกดชื่อเว็บบล็อกเราผิด ฮ่าๆๆ)
----------------------------------------------------------------------

ครับๆๆๆ TAG ก็ TAG ครับ :-)

ต้องเขียนเรื่องเกี่ยวกับตัวเองที่คนอื่นไม่รู้นี่ยากอยู่ เพราะเราไม่รู้ว่าคนอ่านเป็นใคร เพราะแต่ละคนก็รู้เรื่องเกี่ยวกับเรามากน้อยไม่เท่ากัน เอาเป็นว่าเราจะเล่าย้อนอดีตเกี่ยวกับเหตุการณ์สำคัญๆบางอย่างเกี่ยวกับ"หนัง"
(ในเมื่อบล็อคนี้มันควรจะเกี่ยวกับหนัง?) ที่เราคิดว่ามีผลให้เราเป็นเราอยู่ตอนนี้ก็แล้วกัน



1. เราเป็นคนที่ดูหนังมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะพ่อแม่ชอบดูเลยต้องพาเราเข้าโรงหนังไปด้วย เราคือหนึ่งในเด็กที่ก่อความรำคาญในโรงด้วยการถามโน้นถามนี่ตลอดเวลา เพราะไม่เคยเข้าโรงที่เป็นพากย์เสียงภาษาไทยเลย(นอกจากดูหนังไทย หรือหนังจีน) และตอนนั้นอ่านซับไตเติ้ลก็ไม่ทัน บางทีแม่ก็ตอบ บางทีแม่ก็ไม่ตอบ บางทีแม่ก็ปิดปากเรา บางทีแม่ก็ปิดตาเราเวลามีฉากโป๊ในหนัง ซึ่งเราก็จะพยายามแหกลูกตาให้กว้างที่สุดเพื่อมองลอดช่องเล็กๆระหว่างนิ้วให้ได้

หนังโรงเรื่องแรกที่จำได้ (แต่มั่นใจว่าไม่น่าใช่เรื่องแรกจริงๆ) คือเรื่อง "ครูไหวใจร้าย" อาจเพราะเป็นภาษาไทยก็ได้ เลยจำได้มากกว่าเรื่องอื่น นอกจากหนังโรงแล้ว พ่อแม่ยังชอบพาไปดูหนังตามเทศกาลต่างๆ คุ้นๆว่าเคยไปดูหนังที่เกอเธ่ด้วย



2. เราบ้าดูการ์ตูนมาก โดยเฉพาะการ์ตูนดิสนีย์ทั้งหลาย จะเช่ามาดูซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่นั่น แต่หนังการ์ตูนที่เปลี่ยนชีวิตเราคือ Aladdin ที่ทำให้เกิดความคิดอยากเป็น animator และเริ่มค้นคว้าทุกอย่างเกี่ยวกับ animation ซื้อหนังสือทุกเล่มที่หาซื้อได้ หาการ์ตูนเก่าๆของดิสนีย์ (และไม่ดิสนีย์) มาดู ทั้งที่เคยดูแล้วและไม่เคยดู

แล้วเราก็ได้ดู Beauty and the Beast อีกรอบ ทั้งๆที่จริงๆเคยดูในโรง แต่ตอนนี้การกลับมาดูอีกครั้ง ทำให้เรามองมันเปลี่ยนไป เดือนนั้นหยิบ Aladdin กับ Beauty and the Beast ดูสลับกันไปมาทุกวัน แม่ตกใจว่าเป็นบ้าอะไร สุดท้ายตอนนี้ ได้ดู Beauty and the Beast ไปแล้วมากกว่า 50 รอบ จำบทสนทนาในหนังการ์ตูนดิสนีย์ยุคหลังๆได้หมด ตั้งแต่ต้นเรื่องจนจบ ฟังซาวน์แทรกจนขึ้นใจ ใฝ่ฝันอยากไปทำงานที่ Disney ตอนนั้น animation คือชีวิตของเรา และมันก็พาไปสู่การเป็นแชมป์รายการแฟนพันธุ์แท้

แม้ว่าตอนนี้เราไม่ได้บ้าการ์ตูนดิสนีย์เหมือนแต่ก่อนแล้ว (เพราะมันไม่มีอะไรน่าสนใจอีก) แต่มองย้อนกลับไปก็อดยิ้มไม่ได้ว่า เคยบ้าคลั่งได้ขนาดนั้น และที่ฮากว่าคือ ตอนนี้ได้มาเรียนที่ CalArts มหาลัยในฝันตั้งแต่เด็ก เพราะทีมงานดิสนีย์และพิกซ่าร์ต่างจบกันมาจากที่นี่ และมหาลัยนี้ก่อตั้งโดย Walt Disney



3. . หนังสือหนังเล่มแรกที่ซื้อคือ "Starpics" หน้าปก The Firm คิดว่าซื้อตอนประมาณ ม.2 หรือ ม.3 เมื่อมีเล่มแรกก็มีเล่มต่อๆไปอีก รู้ตัวอีกที ก็ซื้อนิตยสารหนังทุกเล่มที่หาซืื้อได้ และซื้อทุกฉบับในยุคนั้นด้วย Starpics, Entertain, Cinemag, Star&Style(ชอบเล่มนี้มาก โป๊ดี), FilmView, หนังสือหนังที่แมงป่องทำ แล้วอะไรอีกหว่า???? คือซื้อมันทุกเล่มที่ขวางหน้า เพื่อนๆม.ต้น เขียนถึงเราในหนังสือรุ่นว่าเป็น "Hollywood เคลื่อนที่"



4. หนังเรื่องแรกที่ให้เรารู้สึกว่่าหนัง ไม่ใช่แค่อะไรที่ดูไปเพลินๆอีกต่อไป แต่กลายเป็นอะไรที่พิเศษและกระทบใจอย่างยิ่ง คือหนังเรื่อง "Strictly Ballroom" มันเป็นเรื่องที่ทำให้เกิดไฟในตัวอย่างรุนแรง จำได้ว่าไปดูในโรงกับแม่ และบอกแม่ว่า หนังเรื่องนี้พิเศษจริงๆ ไม่รู้แม่เข้าใจความรู้สึกหรือเปล่า หลังจากนั้นก็เริ่มขวนขวายดูหนังจากอย่างเป็นจริงเป็นจังมากขึ้น ไม่ใช่ดูตามโรงหนังทั่วๆไปอีกต่อไป เริ่มรู้จักร้านแว่น และก็ซื้อวิดิโอมาเก็บไว้ดองเต็มไปหมด ซึ่งจนบัดนี้ ก็ยังดูวิดิโอพวกนั้นไม่หมด (ไม่นับดีวีดีที่ตามมาอีกหลายร้อยเรื่อง) แต่ตอนนั้นก็ยังไม่คิดว่าจะอยากมาทำหนัง (แต่ยังอยากเป็น Animator อยู่ถ้าเป็นไปได้)



5. ระหว่างเรียนมหาลัยที่คณะสถาปัตย์ก็เริ่มรู้ตัวแล้วว่าอยากทำหนังมากกว่าทำงานสถาปัตย์ เพราะตอนนั้นได้ไปเรียนหนังกับอาจารย์แดง และก็รู้สึกว่าการเรียนหนัง ใกล้ชิดกับหนังอย่างจริงจัง มันสนุกได้ขนาดนี้เลยเว้ย จึงมั่นใจมากขึ้นว่า น่าจะมาทางนี้ต่อไปอีกเรื่อยๆดู เราทำ Thesis ตอนเรียนสถาปัตย์เป็นบริษัท animation ช่วยนักเขียนเขียนบทละครเวทีสดใสอวอร์ด จบมาก็ไปฝึกงานทำหนังกับลูกพี่ และที่เหลือก็อย่างที่เห็นจนบััดนี้

อนาคตไม่รู้เป็นยังไง เราอาจจะทำหนังต่อไปเรื่อยๆ หรืออาจจะเปลี่ยนใจไปทำอย่างอื่นก็ได้ ซึ่งจากการสังเกตตัวเอง เราอาจจะทำมันทุกอย่างก็ได้ (ข้อนี้มีแนวโน้มมากที่สุด) อะไรอย่างเดียวมันไม่พอ เพราะชีวิตมันมีมากกว่าหนัง

----------------------------------------------------------------------

TAG ต่อนะครับ ไปที่
1. http://laughable-loves.blogspot.com/ นักเขียน
2. http://msoc.blogspot.com/ เพื่อนวัยรุ่น

7 Comments:

Blogger Paisid said...

"เพื่อนวัยรุ่น" ฮา.... :-)

6:38 PM  
Blogger celinejulie said...

ดีใจที่ช่วยตอบจ้า

พูดถึงหนังที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตเรามากๆแล้ว เราก็มักจะนึกถึง

1. THE COLOR OF MONEY (1986, MARTIN SCORSESE, A+)
http://www.imdb.com/title/tt0090863/

เป็นหนังเรื่องแรกในชีวิตที่ออกไปดูในโรงคนเดียว ตอนนั้นอายุประมาณ 14ปี สาเหตุที่ออกไปดูเป็นเพราะตอนนั้นอยากเป็นภรรยาของทอม ครุยส์อย่างมากๆ ผลจากการออกไปดูหนังในโรงคนเดียวครั้งนั้นทำให้รู้สึกติดใจมาก และก็เลยมักจะดูหนังคนเดียวมาโดยตลอดตั้งแต่อายุ 14 ปีเป็นต้นมา


2. THE MISSION (1986, ROLAND JOFFE, A+++++++++++)

เป็นหนึ่งในหนังที่ชอบที่สุดในชีวิต และเป็นประสบการณ์การดูหนังในโรงครั้งแรกที่ร้องห่มร้องไห้อย่างรุนแรง ผลจากการได้ดูหนังเรื่องนี้ทำให้ตระหนักว่าหนังมันสามารถส่งผลกระทบต่อตัวเราได้อย่างรุนแรงมากเพียงใด เพราะหลังจากดูหนังเรื่องนี้ไปแล้วประมาณ 10ปี ทุกครั้งที่คิดถึงหนังเรื่องนี้หรือเพลงประกอบหนังเรื่องนี้ก็จะรู้สึกอยากร้องไห้แทบทุกครั้ง


3. MIDNIGHT OFFERINGS (1981, ROD HOLCOMB, A++++++++)
http://www.imdb.com/title/tt0082745/

ได้ดูหนังเรื่องนี้ที่ช่อง 3 ตอนเด็กๆ ดูแล้วทำให้ตัวเองเปลี่ยนศาสนา เลิกนับถือศาสนาพุทธ แล้วหันมานับถือเจ้าแม่ HECATE แทน (ฮ่าๆๆๆๆ) ช่วงนั้นทุกคืนวันเพ็ญเราจะออกมาประกอบพิธีกรรมของเราที่ลานหน้าบ้านตอนดึกๆหลังเที่ยงคืน ตอนนั้นคนในบ้านเราหลับหมดแล้ว แต่จำได้ว่าเพื่อนบ้านของเรายังไม่หลับ พอเขาเห็นเราทำพิธีกรรมอยู่หน้าบ้าน เขาก็มายืนจ้องดู แต่เราก็ไม่สนใจสายตาของเพื่อนบ้าน เรายังคงประกอบพิธีกรรมของเราต่อไป (พิธีกรรมของเราไม่มีอะไรมาก แค่นั่งท่าสวยๆในกองอิฐที่เรียงเป็นรูปดาว และจ้องพระจันทร์วันเพ็ญไปเรื่อยๆ)

คิดว่าหนังเรื่อง MIDNIGHT OFFERINGS ตอบสนองความต้องการของตัวเองตอนเป็นวัยรุ่นได้ดีมาก เพราะมันทำให้เรารู้สึกว่าเราอาจจะไม่ใช่วัยรุ่นธรรมดาๆที่ดาษดื่นเกลื่อนกลาดพบได้ตามท้องถนนทั่วไป แต่เราอาจจะเพิ่มความเป็นคนพิเศษให้ตัวเองได้ด้วยการพยายามศึกษาหาความรู้ด้านไสยาศาสตร์ ซึ่งนั่นจะช่วยให้เราออกห่างจากความเป็นคนธรรมดามากยิ่งขึ้น เราไปซื้อตำราไสยาศาสตร์ภาษาอังกฤษมา แต่อ่านไม่ค่อยออก ในที่สุดเราก็เลยเลิกอ่าน

ประเด็นเรื่อง “ความไม่ต้องการเป็นคนธรรมดาๆ” นี้ เราคิดว่าเป็นประเด็นที่น่าสนใจดี และมันเป็นแรงผลักดันให้คนเราทำในสิ่งที่ดีมากๆหรือชั่วช้าเลวทรามมากๆก็ได้

เพิ่งอ่านบทวิจารณ์ภาพยนตร์ของ NICOLE ARMOUR ใน FILM COMMENT เขาก็พูดถึงเรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน เพราะประเด็นนี้พบได้ในหนังเรื่อง REQUIEM (2006, HANS-CHRISTIAN SCHMID) และ DAY NIGHT DAY NIGHT (2006, JULIA LOKTEV) หนังทั้งสองเรื่องนี้พูดถึงหญิงสาววัยรุ่นที่เพิ่มความเป็นคนพิเศษหรือความเป็นคนสำคัญให้แก่ตัวเอง โดยนางเอกของ REQUIEM ปฏิเสธว่าตัวเองอาจจะป่วยเป็นโรคจิต เธอคิดว่าตัวเองมีอะไรบางอย่างคล้ายนักบุญแคทเธอรีน และคิดว่าตัวเองมีความสำคัญมากจนถึงขั้นที่ปีศาจจะพยายามครอบครองวิญญาณของเธอ ส่วนนางเอกของ DAY NIGHT DAY NIGHT นั้นต้องการจะเพิ่มความพิเศษหรือเพิ่มคุณค่าให้แก่ชีวิตตัวเองด้วยการทำงานเป็นมือระเบิดพลีชีพ

NICOLE ARMOUR พูดถึง REQUIEM และ DAY NIGHT DAY NIGHT ว่า “Both narratives ultimately express a human need to append mystery and significance to otherwise average lives.”

ประเด็นเรื่อง “ความไม่ต้องการเป็นคนธรรมดาๆ” นี้ อาจจะพบได้ในหนังเรื่อง PERFUME: THE STORY OF A MURDERER (2006, TOM TYKWER, A+) ด้วยเหมือนกัน


4. CLASS ENEMY (1983, PETER STEIN, A++++++++++++++)
http://www.imdb.com/title/tt0085800/

เป็นหนึ่งในหนังเรื่องแรกๆในชีวิตที่ได้ดูทางสถาบัน ไม่ได้ดูตามโรงทั่วไป ก่อนหน้านั้นเคยไปดูหนัง 2-3 เรื่องที่สมาคมฝรั่งเศส ถ.สาทรใต้ แต่ไม่ได้ประทับใจกับหนังที่ฉายที่นั่นในระดับ A+ จนกระทั่งได้มาดูหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่สถาบันเกอเธ่ ในปี 1995 ขณะที่ได้ดูหนังเรื่องนี้รู้สึกตกตะลึงจังงังมาก เพราะรู้สึกว่าหนังมันทรงพลัง และมันโดนใจเราสุดๆในแบบที่ยากจะหาได้ตามหนังโรงทั่วไป พลังอันเปี่ยมล้นจากหนังเรื่องนี้ทำให้เรากลายเป็นสาวกของหนังสถาบันเกอเธ่ตลอดช่วง 11 ปีที่ผ่านมา ถ้าหากไม่มีหนังเรื่องนี้ ป่านนี้ชีวิตเราอาจจะแตกต่างไปจากนี้อย่างสิ้นเชิงแล้วก็ได้


5. INDIA SONG (1975, MARGUERITE DURAS, A++++++++++++)

นี่คือหนึ่งในหนังที่ชอบที่สุดในชีวิต ขณะที่เราดูหนังเรื่องนี้ เราแทบไม่กล้าขยับตัวเลย ไม่กล้าขยับแม้แต่ปลายนิ้วก้อย ไม่กล้าแม้แต่หายใจแรงๆ เพราะหนังมันมีพลังตรึงเราอย่างรุนแรงจริงๆ

นี่เป็นหนังที่เราดูมากรอบที่สุดในชีวิต เราได้ดูหนังเรื่องนี้ไปแล้ว 6 รอบ และได้ดูทางโรงหนังทุกรอบ เพราะหนังเรื่องนี้หาซื้อไม่ได้ในแบบวิดีโอหรือในรูปแบบอื่นๆ

ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร แต่หลังจากเราดูหนังเรื่อง INDIA SONG รอบที่สี่จบในช่วงปลายปี 2000 เราก็ไม่รู้สึกอยากไปเที่ยวกลางคืนอีก บางทีสองเหตุการณ์นี้มันอาจจะไม่เกี่ยวข้องกันเลย หรือบางที INDIA SONG ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับการฆ่าตัวตายอาจจะมีอิทธิพลบางอย่างต่อจิตใต้สำนึกของเราโดยที่เราไม่เข้าใจ แต่ที่แน่ๆก็คือมันส่งผลดีกับเรา เพราะเรารู้สึกอยู่ในใจว่าเรามีความสุขมากพอแล้วโดยไม่จำเป็นต้องออกไปเที่ยวกลางคืนอีก

6:48 AM  
Blogger celinejulie said...

This comment has been removed by a blog administrator.

6:49 AM  
Blogger Boat said...

ฮามากครับพี่

จำได้เหมือนกันว่าตอนเด็กๆเคยสวดมนต์ทุกคืนขอให้ตัวเองมีอิทธิฤทธิ์ หวังเป็นจริงเป็นจังว่า ถ้าขอทุกวันจะต้องสำเร็จแน่ๆ

และตอนนี้ก็เลยได้มีอิทธิฤทธิ์อย่างที่หวังไว้จริงๆ

ซะเมื่อไหร่

10:04 AM  
Anonymous Anonymous said...

อ่านน้องเซลีนจูลีตอบแล้วฮากระจายมาก โดยเฉพาะพิธีกรรมใต้แสงจันทร์ น่ารักมากๆ

หมายเหตุ อยากรีพลายคอมเมนต์เวปนักบลอกนักเขียนมากเลย แต่ไม่มีแอคเคาต์บลอกสปอต ต้องทำไงครับ???์

11:53 PM  
Blogger Boat said...

ผมบอกนักเขียนให้แก้ค่าเซ็ตติ้งให้แล้วครับ
ตอนนี้ไปตอบบล็อคนักเขียนได้แล้วครับ

7:19 PM  
Anonymous Anonymous said...

อ่านแล้วอิจฉา Boat อ่ะ

อืม...

5:49 AM  

Post a Comment

<< Home