----------------------------------------------------------------------
celinejulie said...
น้อง BOAT โดนดิฉัน tag แล้วนะ
blog tag ในที่นี้คือการบอกอะไรเกี่ยวกับตัวเองมา 5 อย่างแล้วเอาไป tag คนอื่นต่อ เหมือนเป็นจดหมายลูกโซ่ประเภทหนึ่ง
อ่านของดิฉันได้ที่
http://celinejulie.blogspot.com/2007/01/technopolyclinic.html
ดูร่องรอยของ BLOG TAG ได้ที่
http://www.keng.ws/files/blog-tag_trace.html
(รู้สึกว่าเขาจะสะกดชื่อเว็บบล็อกเราผิด ฮ่าๆๆ)
----------------------------------------------------------------------
ครับๆๆๆ TAG ก็ TAG ครับ :-)
ต้องเขียนเรื่องเกี่ยวกับตัวเองที่คนอื่นไม่รู้นี่ยากอยู่ เพราะเราไม่รู้ว่าคนอ่านเป็นใคร เพราะแต่ละคนก็รู้เรื่องเกี่ยวกับเรามากน้อยไม่เท่ากัน เอาเป็นว่าเราจะเล่าย้อนอดีตเกี่ยวกับเหตุการณ์สำคัญๆบางอย่างเกี่ยวกับ"หนัง"
(ในเมื่อบล็อคนี้มันควรจะเกี่ยวกับหนัง?) ที่เราคิดว่ามีผลให้เราเป็นเราอยู่ตอนนี้ก็แล้วกัน
1. เราเป็นคนที่ดูหนังมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะพ่อแม่ชอบดูเลยต้องพาเราเข้าโรงหนังไปด้วย เราคือหนึ่งในเด็กที่ก่อความรำคาญในโรงด้วยการถามโน้นถามนี่ตลอดเวลา เพราะไม่เคยเข้าโรงที่เป็นพากย์เสียงภาษาไทยเลย(นอกจากดูหนังไทย หรือหนังจีน) และตอนนั้นอ่านซับไตเติ้ลก็ไม่ทัน บางทีแม่ก็ตอบ บางทีแม่ก็ไม่ตอบ บางทีแม่ก็ปิดปากเรา บางทีแม่ก็ปิดตาเราเวลามีฉากโป๊ในหนัง ซึ่งเราก็จะพยายามแหกลูกตาให้กว้างที่สุดเพื่อมองลอดช่องเล็กๆระหว่างนิ้วให้ได้
หนังโรงเรื่องแรกที่จำได้ (แต่มั่นใจว่าไม่น่าใช่เรื่องแรกจริงๆ) คือเรื่อง "ครูไหวใจร้าย" อาจเพราะเป็นภาษาไทยก็ได้ เลยจำได้มากกว่าเรื่องอื่น นอกจากหนังโรงแล้ว พ่อแม่ยังชอบพาไปดูหนังตามเทศกาลต่างๆ คุ้นๆว่าเคยไปดูหนังที่เกอเธ่ด้วย
2. เราบ้าดูการ์ตูนมาก โดยเฉพาะการ์ตูนดิสนีย์ทั้งหลาย จะเช่ามาดูซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่นั่น แต่หนังการ์ตูนที่เปลี่ยนชีวิตเราคือ Aladdin ที่ทำให้เกิดความคิดอยากเป็น animator และเริ่มค้นคว้าทุกอย่างเกี่ยวกับ animation ซื้อหนังสือทุกเล่มที่หาซื้อได้ หาการ์ตูนเก่าๆของดิสนีย์ (และไม่ดิสนีย์) มาดู ทั้งที่เคยดูแล้วและไม่เคยดู
แล้วเราก็ได้ดู Beauty and the Beast อีกรอบ ทั้งๆที่จริงๆเคยดูในโรง แต่ตอนนี้การกลับมาดูอีกครั้ง ทำให้เรามองมันเปลี่ยนไป เดือนนั้นหยิบ Aladdin กับ Beauty and the Beast ดูสลับกันไปมาทุกวัน แม่ตกใจว่าเป็นบ้าอะไร สุดท้ายตอนนี้ ได้ดู Beauty and the Beast ไปแล้วมากกว่า 50 รอบ จำบทสนทนาในหนังการ์ตูนดิสนีย์ยุคหลังๆได้หมด ตั้งแต่ต้นเรื่องจนจบ ฟังซาวน์แทรกจนขึ้นใจ ใฝ่ฝันอยากไปทำงานที่ Disney ตอนนั้น animation คือชีวิตของเรา และมันก็พาไปสู่การเป็นแชมป์รายการแฟนพันธุ์แท้
แม้ว่าตอนนี้เราไม่ได้บ้าการ์ตูนดิสนีย์เหมือนแต่ก่อนแล้ว (เพราะมันไม่มีอะไรน่าสนใจอีก) แต่มองย้อนกลับไปก็อดยิ้มไม่ได้ว่า เคยบ้าคลั่งได้ขนาดนั้น และที่ฮากว่าคือ ตอนนี้ได้มาเรียนที่ CalArts มหาลัยในฝันตั้งแต่เด็ก เพราะทีมงานดิสนีย์และพิกซ่าร์ต่างจบกันมาจากที่นี่ และมหาลัยนี้ก่อตั้งโดย Walt Disney
3. . หนังสือหนังเล่มแรกที่ซื้อคือ "Starpics" หน้าปก The Firm คิดว่าซื้อตอนประมาณ ม.2 หรือ ม.3 เมื่อมีเล่มแรกก็มีเล่มต่อๆไปอีก รู้ตัวอีกที ก็ซื้อนิตยสารหนังทุกเล่มที่หาซืื้อได้ และซื้อทุกฉบับในยุคนั้นด้วย Starpics, Entertain, Cinemag, Star&Style(ชอบเล่มนี้มาก โป๊ดี), FilmView, หนังสือหนังที่แมงป่องทำ แล้วอะไรอีกหว่า???? คือซื้อมันทุกเล่มที่ขวางหน้า เพื่อนๆม.ต้น เขียนถึงเราในหนังสือรุ่นว่าเป็น "Hollywood เคลื่อนที่"
4. หนังเรื่องแรกที่ให้เรารู้สึกว่่าหนัง ไม่ใช่แค่อะไรที่ดูไปเพลินๆอีกต่อไป แต่กลายเป็นอะไรที่พิเศษและกระทบใจอย่างยิ่ง คือหนังเรื่อง "Strictly Ballroom" มันเป็นเรื่องที่ทำให้เกิดไฟในตัวอย่างรุนแรง จำได้ว่าไปดูในโรงกับแม่ และบอกแม่ว่า หนังเรื่องนี้พิเศษจริงๆ ไม่รู้แม่เข้าใจความรู้สึกหรือเปล่า หลังจากนั้นก็เริ่มขวนขวายดูหนังจากอย่างเป็นจริงเป็นจังมากขึ้น ไม่ใช่ดูตามโรงหนังทั่วๆไปอีกต่อไป เริ่มรู้จักร้านแว่น และก็ซื้อวิดิโอมาเก็บไว้ดองเต็มไปหมด ซึ่งจนบัดนี้ ก็ยังดูวิดิโอพวกนั้นไม่หมด (ไม่นับดีวีดีที่ตามมาอีกหลายร้อยเรื่อง) แต่ตอนนั้นก็ยังไม่คิดว่าจะอยากมาทำหนัง (แต่ยังอยากเป็น Animator อยู่ถ้าเป็นไปได้)
5. ระหว่างเรียนมหาลัยที่คณะสถาปัตย์ก็เริ่มรู้ตัวแล้วว่าอยากทำหนังมากกว่าทำงานสถาปัตย์ เพราะตอนนั้นได้ไปเรียนหนังกับอาจารย์แดง และก็รู้สึกว่าการเรียนหนัง ใกล้ชิดกับหนังอย่างจริงจัง มันสนุกได้ขนาดนี้เลยเว้ย จึงมั่นใจมากขึ้นว่า น่าจะมาทางนี้ต่อไปอีกเรื่อยๆดู เราทำ Thesis ตอนเรียนสถาปัตย์เป็นบริษัท animation ช่วยนักเขียนเขียนบทละครเวทีสดใสอวอร์ด จบมาก็ไปฝึกงานทำหนังกับลูกพี่ และที่เหลือก็อย่างที่เห็นจนบััดนี้
อนาคตไม่รู้เป็นยังไง เราอาจจะทำหนังต่อไปเรื่อยๆ หรืออาจจะเปลี่ยนใจไปทำอย่างอื่นก็ได้ ซึ่งจากการสังเกตตัวเอง เราอาจจะทำมันทุกอย่างก็ได้ (ข้อนี้มีแนวโน้มมากที่สุด) อะไรอย่างเดียวมันไม่พอ เพราะชีวิตมันมีมากกว่าหนัง
----------------------------------------------------------------------
TAG ต่อนะครับ ไปที่
1.
http://laughable-loves.blogspot.com/ นักเขียน
2.
http://msoc.blogspot.com/ เพื่อนวัยรุ่น